วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563

ทางร่วม

ก้าวออกไปสู่ทุ่ง
เห็นคนเมืองแน่นขนัด
ทุ่งร้านกาแฟ
ทุ่งจุดเช็คอิน
วัวควายรูปปั้นยิ้มให้กล้องมือถือ

ก้าวเข้าสู่เมือง
เห็นคนทุ่งแน่นขนัด
ห้างสรรพสินค้า
ธนาคาร สถาบันเจ้าหนี้
ร้านอาหาร ร้านกาแฟ
นายพันรูปปั้น ตัวละครดังรูปถ่ายยิ้มเข้ามือถือ

ก้าวออกจากมือถือ
ทิ้งทุ่ง ทิ้งเมือง

ทางหอม


วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

แหงนเบิ่ง

ข่อยเป็นเด็กน้อย
เลี้ยงควายในแอพความคึดอ่าน
หากินตามสเตตัสป่าหัวนา
ไล่ตั๊กแตนในเกมที่โหลดไว้
หากะปอมในแมสเซนเจอร์หมู่วัยประถม
ฮ้องเพลงลำพรศักดิ์สาธิตในโปรแกรมคาราโอเกะ

ข่อยเป็นเด็กน้อย
ชั่วขณะหน้าจอดิจิตอลกะพริบ
ยามส่งยิ้มผ่านฮูปถ่ายท่งนาหนองหว้าให้นางเอกละครสิทยุคณะเกษทิพย์
ลอบเข้าไปในฉากกลอนลำขีวิตชาวนา
แอบยิ้มข้างแม่น้ำมูลในเพลงสาวอุบลรอรัก
พักเซาชมสาวในท่อนฮุกเพลงสาวคำเขื่อนแก้ว
เก็บผักหมโพนข้างเถียงต้มลวกจิ้มแจ่ว
ในเพลงคอยน้องที่ขอนแก่น

ข่อยเป็นเด็กน้อยในอาณาจักรเพลงลำยูทูป
ไปไหว้องค์ธาตุพนมในเพลงอาลัยธาตุพนมตามประสาผุสาวลืมพี่ที่นครพนม
แล้วไปเที่ยวบึงพลาญชัยในเสียงศรชัย
ก่อนจะกลับทุ่งร้างนางลืมในเสียงลำไก้ฟ้า
นอนนาจักคืนจั่งไปซึ้งสาวปากเซ
ลัดเลาะเที่ยวเขาในเพลงคืนลับฟ้า

ข่อยเป็นเด็กน้อย ๆ
ฟ้อนใส่ลำเพลินหน้าฮ่านงานกฐินอยู่เดิ่นใต้ฮ่มกอไผ่

ข่อยเป็นเด็กน้อย
แหงนเบิ่งผู้ใหญ่ที่ลืมเด็กน้อยในคีง

ข่อยยังเป็น
เป็นเด็กน้อยเลี้ยงควายกลางท่ง

ทางหอม


วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2563

เมืองหน้ากาก

หน้ากากขายดี
คน ๆ ๆ ๆ หน้ากาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ค้างคาวหน้ากาก
ไวรัสก็หน้ากาก
มาตรการหน้ากากแปลก ๆ
ติดเชื้อหลอก ๆ
ตายหลอก ๆ
ข่าวเตือนภัยหลอน ๆ

เมืองหน้ากาก
แถลงข่าวประหลาด ๆ
หน้ากากเกลื่อนเมือง
หน้ากากเมือง
เมืองหน้ากาก

ทางหอม





วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2563

อนิจจา

เน็ตไอดอลตั้งท้อง
ลูกคนแรกเป็นวิทยุทรานซิสเตอร์
ลูกคนสองเป็นเครื่องเล่นเทปคลาสเซ็ท
ลูกคนต่อมาเป็นเครื่องเล่นแผ่นซีดี

แต่อนิจจา
ลูกทุกคนตายด้วยเหุตุอาชญากรรม
ที่ยังหาอาชญากรไม่เจอ
แม้เขาจะปักหมุด
และเผยตำแหน่งบนมือถือรุ่นปี 2050
เห็นแกะรอยง่ายๆ ก็ตาม

เพื่อนๆ ของลูกเล่า
ติดเชื้อสายพันธุ์ไข้
ขณะโหลดคลิปดังหลายๆ วิว
อนิจจา


ทางหอม


วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

สุดทาง

ความรักสุดซึ้ง
เกิดแต่ความปรารถนาลึกซึ้ง
เหมือนรสชาติหวานซึ้ง
ของอาหารในยามยากเข็ญสุดลำบากลำบน

ความสำเร็จสุดยอด
เริ่มต้นขณะคิดอ่าน
เติบโตขณะลงมือทำมัน
รางวัลแรกๆ คือคำ "เราทำได้"
รางวัลต่อมาคือรอยยิ้มองอาจ
รางวัลตามมาคือรางวัลจากใครอื่น

นั่นไงเล่า
ที่สุดแล้วตัวตน
ส่วนกายนี่ก็แค่กว้างศอกหนาคืบ
ส่วนใจเล่าก็แค่ความคิดอ่าน

ใช่ล่ะ? ใครกันรู้เท่าทันใคร
เหมือนกรรมการตัดสินกีฬา
รู้ทันเหลี่ยมเล่ห์นักแข่งที่อยุติธรรม

ทางหอม 



วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563

เพลงฤดูหนาว

การเดินทางข้างใน
มิอาจ
กล่าวด้วยเสียงและจารอักษร
คล้ายมือสัมผัสหมอกเช้า

ราวลมต้นตุลา
พรมแผ่ว
เส้นทางสายนั้นดั่งวาดแต้ม
หมอกเช้าเคล้าเพลงนกนา

ลัดเลาะริมธารหนาว
มิหนาว
ลุ้นเห็นดอกหญ้าบานโบกอ้อน
ประหนึ่งสมใจรอคอย

นิ่งชมต้นไม้หนึ่ง
ริมทาง
กิ่งก้านสล้างทรงพุ่มโปร่ง
ใกล้หนาวเตรียมงานผลัดใบ

งานรื่นเริงแสงเงา
ใบวี
แต้มพื้นดินทรายทางไปนา
กอดก่ายเกี้ยวลายข้าวรวง

หอมกลิ่นฤดูหนาว
กรุ่นใจ
สายลมความเก่าหลังโชยผ่าน
คืนสู่ท้องทุ่งวัยเยาว์

ชมใบสะแบงหล่น
ในใจ
ใบรักร่วงช้ากว่าใบชัง
ห่มนาตอซังเท่าเทียม

บางใบค้างคอยน้ำค้าง
น้ำหนักเหน็บหนาวหน่วงให้เอียง
เช้าหมอก
บางใบยังค้างคา

ฟังเพลงนาหน่วงหนาว
ทิวไม้
ค้อมคารวะรวงทองทิพย์
ขณะคนนานิ่งนบ

ข่าวฤดูฝันใดเล่า
กัดกร่อนคำร้องทำนองทุ่ง
ฟากโน้น
ใครบ้างคอยเสบียง

แมงมุมทอใยสาน
ซ่อนรอ
ตั๊กแตนพักผ่อนนอนกลางวัน
มดดำเดินเล่นใบวี

ใต้ซุ้มรวงพราวข้าวใหม่
รวงรังเรือนรักร่ายรื่นรมย์
ยืนยัน
ทุ่งยิ้มยลนิยาม

คูดินคันแทนา
ทอดร่าง
ดงข้าวใกล้เกี่ยวเม่าบังตา
พรมเขียวรอก้าวกลอนลำ

ลมหนาวเกี้ยวก่ายสังวาส
ทุ่งเทืองเทิดเท้าท่องเทียวทาง
ของขวัญ
ค้อมหญ้าคารวะ

ดอกผักนาใสสด
เงยยิ้ม
รวงข้าวสบตาเปรยคำปลื้ม
ฟังสิลำเดินเพลินแพน

ฟังสิเต้ยสั้น พลันล่อง
บางบ่อนบ้านเบื้องบ่มเบ่งบาน
ตัวตน
เหมือนคอยใครเยี่ยมยาม

ทางหอม
ปลายปี 2562


วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563

ตุ๊กตาชีวิต

ลำดับความรัก
ผู้ใดตั้งกติกา
กำหนดสิทธิ์ขาด

ลำดับความชัง
ใครสามารถบ่ง
เจาะจงเด็ดขาด

ลำดับความสำคัญ
ใต้ลำดับความรอด
รองลำดับความช่วยเหลือ
พ่ายลำดับความพร้อมใดๆ?

ตัวตนขวบวัยเยาว์
ล่องหนขณะโอบกอดตุ๊กตาอุ่น
จำเพาะความเดี่ยวโดด

ใครมิรัก
ใครมิชัง
ต่างสาบสูญ
ขณะยังยืนตรงหน้าตาละห้อย

โอตุ๊กตา โอชีวิต โอ โอ โอ...

ทางหอม



วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2563

กล้วยกำแพ่ง

เครือบ่งาม หน่วยบ่สวย
ด้วยต้นบ่ใหญ่
ดินบ่พอน้ำบ่พอปุ๋ย

คือคนบ่งาม ใจบ่ดี
ด้วยเข็ญยากนานา

ทางหอม


"หนาวลมโลก"

คล้ายความจริงมีเข็มก้นทอง
ล้านล้านล้านเล่มทิ่มหัวอกดิจิตอล
ผลพวงยอดวิวยอดไลค์...ฟุ้งซ่านสื่อสาร

เป็นจดหมายลาตายล้านล้านล้านฉบับ
ในรูปวิลเทจท้ายโพสต์หนึ่งเดียวนั้น

ทางหอม


สัมผัสทิพย์

ดอกหญ้าเคียงรวงข้าว
ขาวแห่งทุ่งสัมผัสเหลืองแห่งทุ่ง
คล้ายบทสนทนาในนิยายต้นแบบ
จากปลายปากกาของนักประพันธ์หนุ่ม

ดอกรักเคียงดอกรอ
ไร้สีสันสัมผัสไร้กลิ่นไอ
ดั่งบทสนทนาของตัวละครเอก
ในเรื่องเล่าของชาวนาสักตำบล

สัมผัสสิหัวใจ
ห้วงรื่นรมย์สัมพัทธ์
อ้างอิงประวัติศาสตร์ใดกัน
อ้างรู้สึกผูกพันใดไหม?

ทางหอม
อัง.26.11.2562





วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563

วิทยากร โสวัตร กับฆาตกรฯ ของเขา


ตายเกินจริง ตายชวนตีความ น้ำเนื้อน่าค้นหา
ฆาตกร และเรื่องสั้นอื่นๆ  ของวิทยากร  โสวัตร
“ให้อ่านอีก ก็ยังอยากอ่าน”

   ผมก็เป็นฆาตกรคนหนึ่งเมื่ออ่านฆาตกรจบ แต่ละเรื่อง และทั้งเล่มก็อยากกลับ
ไปอ่านอีก อยากกลับไปทบทวนเพราะการลำดับเรื่องในเล่ม ทำให้ชวนติดตาม ติดตามตัวละคร ติดตามเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ อ่านจบแล้วบางข้อมูลยังไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ ในการเชื่อมโยง แม้ว่าภาพรวม บรรยากาศของเรื่อง หรือแม้แต่
แก่นเรื่องจะปรากฏชัดในใจระดับหนึ่งแล้ว แต่ในฐานะคนอ่านที่อยากวิจารณ์ด้วย จึงจำเป็นต้องกลับไปพลิกดู อ่านซ้ำ และเชื่อมโยงข้อมูล เหตุการณ์ตัวละคร
ให้เข้าใจมากขึ้น

   อย่างไรก็ดี ถ้ามีใครถามว่า จะกลับไปอ่านอีกไหม ตอบทันทีเลยว่า
เป็นรวมเรื่องสั้นที่อยากกลับไปอ่านอีกเมื่อมีโอกาส

   มันยังไม่อิ่มเหมือนกินข้าวกำลังอร่อยแล้วมาหมดเวลากินซะแล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากกินสำรับนี้อีก ดูเหมือนจะมีทั้งน้ำและเนื้อ มีรสชาติแบบลาวอีสานที่แปลกไป แปลกในที่นี้ มันเป็นแบบ ไม่ใช่รสจัดจ้านของปลาแดกขี้ร้า พริก หอม ข้าวคั่ว...มากนัก แต่ก็เป็นรสชาติซึมลึก เป็นรสชาติของปัจจุบันที่มีอดีตเคลือบอยู่ หรือแทรกอยู่  ถ้าเปรียบกับขนมไข่ขี้เกี้ยม เม็ดหมากนุ่นข้างในคือแก่นความคิด เนื้อหา เหตุการณ์ที่สังคมปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ คนไม่เท่าเทียมกันหรอก คนที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่น บางกลุ่ม บางคน ก็ยังดำรงสถานะการเอารัดเอาเปรียบใครเขาอยู่  คนทั่วไป ชาวบ้าน ก็ยังถูกเอาเปรียบ แม้พร้อมจะต่อสู้ แต่ก็ดูเหมือนว่าองคาพยพของสังคมจะตัดสินแล้วว่า ชัยชนะ จะอยู่เพียงในจิตใจของนักสู้  ส่วนชัยชนะในแง่การปรับโครงสร้างสังคมที่เอื้อต่อทุกคนนั้น แพ้ตั้งแต่คิด (หรือเปล่า)  ส่วนสำนวนภาษา  เห็นได้ว่านักเขียนไม่ได้ตั้งใจให้มีคำลาว แต่มันโผล่มาแบบเป็นธรรมชาติ มันดู Smooth ไม่แข็ง ดูกลมกลืน ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคขวางกั้นให้คนที่ไม่ใช่คนลาวอีสาน ไม่อยากอ่าน ตรงข้าม ภาษาง่ายๆ ถ้อยคำธรรมดาที่ไม่ประดิดประดอย จะเป็นเสน่ห์ด้วยซ้ำ

   ในแง่ของการสร้างสรรค์ นักเขียน ใช้กลวิธีการเล่าเรื่อง ส่วนใหญ่ จะเป็นมุมมองของสรรพนามบุรุษที่ 1  ซึ่งอาจใกล้เคียงกับตัวนักเขียนเอง คือ ผม ผมเป็นลูกไทบ้าน แต่ผมก็มีน้ำเสียงของ Bird Eye View  มองจากคนนอกเข้าไปในเรื่องด้วย อันนี้ทำได้ดี แต่ที่น่าสนใจที่สุด ก็คือ กลวิธี  magical  คือความเหนือจริงที่เป็นไปได้ เป็นความจริงตามสภาวะ เรื่องได้ปูทางไว้ ไม่ขอลงรายละเอียด ใครสนใจก็ลองเปิดอ่านดูว่าจุดนี้เป็นจุดแข็งของนักเขียนฆาตกรและเรื่องสั้นอื่นๆ หรือไม่  ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือนักเขียนใช้วิธีการเปิด-ปิดเรื่องที่สอดรับกัน คล้ายๆ กับหนัง Hollywood หรือหนังทั่วไปที่ต้องการสร้างอารมณ์ร่วม ต้องการให้ผู้อ่านคิดเชื่อมโยงในฉาก ในประเด็นที่ผู้แต่งวางไว้ อีกนัยหนึ่งคือเป็นการป้องกันตัวของนักเขียนเองไม่ให้ออก นอกเรื่อง ไม่ให้เตลิด อย่าง ในเรื่องข้าว ผมสังเกตว่า ผู้เขียน นักเขียนมีข้อมูลเยอะมาก เรื่องข้าวนี้  มีทั้งข้อมูลครอบครัว ข้อมูลชุมชน ซึ่งหลั่งไหลออกมา ผมว่าเรื่องนี้ถ้าเขียนเป็นนวนิยายขนาดสั้นขยายความ
ตัวละครแต่ละตัวออกไป ก็น่าสนใจทั้งนั้น น่าจะเป็นนวนิยายสั้นที่ชวนอ่านทีเดียว ก็ดูเหมือนว่าเรื่องสั้นมันจะทำให้ผู้แต่งต้องบีบและวางข้อมูลบางส่วนไว้ เพื่อดึงตัวเองกลับเข้ามาสู่โหมดของเรื่องสั้นไม่งั้นมันจะเตลิดไป  (ดูว่าคนเขียนมันส์) เพราะดูท่าบางเรื่องมันอาจขยายเป็นนวนิยายสั้น ก็เป็นได้

   ไล่ไปทีละเรื่อง เรื่องข้าพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องสั้นที่อ่านง่ายที่สุดในเล่มนี้ เพราะเหมือนกับเป็นอัตชีวประวัติ ส่วนหนึ่งของตัวนักเขียน เป็นสภาวะข้างใน ที่ถ่ายทอดออกมาได้งดงาม น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากเขียนหนังสือ โดยเฉพาะแฟนๆ ของนักเขียน ที่เป็นรุ่นน้อง หรือรุ่นใหม่ที่อยากจะดำรงชีวิตด้วยการเป็นนักเขียน น่าจะเป็นแรงบันดาลใจ เป็นตัวอย่างในวิธีคิดวิธีเขียน และอารมณ์ความเป็นนักเขียนที่ให้ความสุข หรือให้โอกาสปัจเจกชนในการพัฒนาตัวเอง ในเวทีความคิดอ่านที่ตัวเองชื่นชอบหรือใฝ่ฝัน  คม ครับ คม

   เรื่องความตายสีขาว และเรื่องคนตาย เป็น 2 เรื่องที่นักเขียน ตั้งใจนำเสนอโลกทัศน์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่นักเขียนศรัทธา และปรารถนาจะใช้วรรณกรรมเป็นสื่อในการบูชาความเชื่อนั้นว่าเฉพาะความตายสีขาวอาจจะจัดเป็นเรื่องสั้นในกลุ่มวรรณกรรมเยาวชนได้ แต่ความลึกในข้อมูล ในบรรยากาศตัวละคร และจุดมุ่งหมายของชีวิต เป็นสิ่งที่ท้าทายคนอ่าน ลองอ่านดูครับ ใครชอบพญานาค ใครชอบแม่น้ำโขงไม่ควรพลาดพินิจ พิจารณาสาร ตลอดจนสัมพันธบทระหว่างพระพุทธศาสนา ธรรมชาติแม่น้ำโขง ปลา พญานาค น่าสนใจครับ

   กล่าวเฉพาะเรื่องคนตาย แม้ผู้แต่งนักเขียนจะต้องการบอกเล่าเหตุการณ์ การทำร้ายผู้ชุมนุมทางการเมืองในวัด (เหตุการณ์จริงปีไหนนะ---)  ซึ่งเป็นความสะเทือนใจของสังคม โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนชาวลาวอีสานโดยตรง ที่รู้สึกว่า หมู่เฮาเจ้าข้าจะเป็นเครื่องสังเวยของสังคมประชาธิปไตยไทยมาบ่รู้กี่รอบกี่คำรบ...  แต่เนื้อหาหลัก กลับเป็นความศรัทธา ทางพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ อันถูกภาครัฐ เชื่อมโยง และ ลงมือ ทำลายศรัทธา ทำร้ายคนศรัทธาเสียฉิบ  ก็แค่พระแค่โยมจะข้ามภูพานไปไหว้พระธาตุพนม ก็ถูกฆ่าทิ้งเสียแล้ว  ข่าวกรองคืออะไร ใครเป็นคนสั่ง เพื่ออะไร การมีพระพุทธศาสนา มิใช่หรือที่ให้ คนชั้นนำนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง กด ข่ม และครอบ... แล้วจะมาทำร้ายคนที่นับถือพุทธได้อย่างไร แสดงว่าศาสนาพุทธในแผ่นดินนี้ในนามผู้มีอำนาจ
แล้ว มันก็แค่เครื่องมืออย่างว่าเท่านั้นหรือ? มิใช่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจผู้นำใช่ไหม? 
   นี่คือคำถาม เนื้อหาของเรื่องนี้ กล่าวถึงพระหนุ่มผู้จำรับภาระในการสืบทอดศรัทธาพระพุทธศาสนา ดำเนินเรื่องผ่านการแสวงหา การธุดงค์ โดยมีพระธาตุพนมเป็นจุดหมาย น่าสนใจครับ น่าสนใจในวิธีคิดแบบชาวบ้าน น่าสนใจในความบริสุทธิ์ของความเชื่อ น่าสนใจในความตั้งใจของนักเขียนที่จะถ่ายทอดบรรยากาศทางการเมือง ผลกระทบทางการเมือง ผ่านการปฏิบัติตามความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่มันมีความลักลั่น ระหว่างประชาชนคนชาวบ้านกับรัฐ  ความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่มีต่อศาสนายังถูกโยงไปเป็นการเมือง และฆ่าทิ้งผู้เชื่อมั่นเช่นนั้น จึงไม่แปลกที่ผู้ชุมนุมทางการเมืองเรียกร้องประชาธิปไตยจริงๆ ที่เห็นตรงหน้าของผู้นำ จะถูกทำลาย ทำร้าย ฆ่าทิ้ง เพราะเป็นตัวขวางกั้นอำนาจ ผลประโยชน์ เป็นก้างขวางคอ เป็นสิ่งที่ผู้นำไม่ต้องการ ความเชื่อทางศาสนาที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นโดยเป็นข่าวเช้าเย็นว่าเชิดชูจิตใจ ชุบชูความเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้ชาวบ้านใช้เรียนรู้ผูกฝั้นเป็นสายใย ให้คนในชุมชน สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ใช่สิ่งที่บ้านเมืองต้องการดอก  ฉะนั้นความเชื่อเรื่องประชาธิปไตยที่เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเป็นความงดงาม เป็นเป้าหมาย ที่จะทำให้บ้านเมืองสังคมดำรงอยู่ ดำเนินไปเพื่อประชาชนโดยแท้จริง จึงดูเหมือนจะเป็นความเพ้อฝันตามความหมายของเรื่องสั้นเรื่องคนตาย เพราะคนที่ตายเพราะอุดมการณ์ทางศาสนา ที่ไม่ก่ายเกี่ยวกับการเมืองเลย ก็ยังต้องตายไปอย่างไร้ความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งคนที่ตายเพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองอย่างที่ว่า ก็ไม่มีที่อยู่ที่ยืนในหน้าประวัติศาสตร์สังคมแต่อย่างใด นักเขียนเชื่อเช่นนั้นหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่คนอ่านเชื่อว่า เรื่องสั้นคนตายให้คนตายบอกกับเราว่าอย่างนั้น

   เรื่องสั้นเรื่องศพ (ประวัติศาสตร์หมู่บ้านเรื่องที่ 1) เป็นเรื่องชวนคิด ชวนสลดสังเวช ชวนสะอิดสะเอียนว่าเป็นเรื่องของการตายของหญิงสาวสวยของหมู่บ้าน แต่แม้หน้าประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านเองในกำแพงโบสถ์ กำแพงวัด ก็ ไร้ซึ่งกระดูก ไร้ซึ่งการจารึกชื่อ การจารึกประวัติศาสตร์ชีวิตของคนคนหนึ่งที่สมควรจะมีอยู่  แต่กลับทำให้หายไป น่าแปลกไหมในสังคมประชาธิปไตยในสังคมที่ได้ชื่อว่า มีธรรมะ
มีความยุติธรรม ที่จริง? เรื่องนี้น่าจะชื่อว่า ผีอีลุน การตายของอีนางลุน สาวสวยของหมู่บ้าน กับการสืบหาผู้กระทำ ไม่พบ และการหายไปของข้อมูลในกำแพงวัด เกี่ยวข้องโดยตรงกับการมาของคนของรัฐหรือเปล่า ใครเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเองหรือ หรือคนในหมู่บ้านไม่มีสิทธิ์ หรือคนที่เรียกว่าเจ้านาย มีสิทธิขาด หมู่บ้านควรมีประวัติศาสตร์ส่วนไหน ส่วนไหนเขียนไม่ได้ แม้แต่อีนางลุน ยังไม่มีแม้ชื่อข้อมูลในวัดบ้านเกิดอันเป็นที่ไว้กระดูกของคนทั้งหมดในหมู่บ้านที่ตายไป ดังนั้น จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า  ทั้ง เรื่องศพ เรื่องคนตายที่กล่าวมาแล้ว เป็นเรื่องชาวบ้านที่มีใครเจตนาให้สังคมลืมเลือน ไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ถ้าชาวบ้านคนหนึ่งตายเป็นเรื่องเล็กๆ กะจิ๋วหลิว ประชาชนคนอื่นตายเหมือนผักเหมือนปลา เหมือนเม็ดดินเม็ดทราย ไม่มีผลกระทบ ไม่มีส่วนในการจะเปลี่ยนแปลงให้สังคมงดงาม ดีงาม ไม่เป็นจุดเปลี่ยนให้ผู้นำ ผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางสังคม และนำไปคิดพิจารณาให้ลึกซึ้ง ซึ่งนี่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา
อีกนั่นแหละ ใช่ไหมครับท่าน ไม่ว่าสังคมไหน อเมริกา ยุโรป รัสเซีย... ตราบใดที่ผู้นำยังเป็นผู้นำที่เป็นคนชั้นกลาง ชั้นสูง หรือแม้แต่ลูกชาวบ้านเองก็เถอะ ที่เมื่อมีโอกาสวาสนาพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นผู้นำ ก็ไม่อาจจะรับประกันได้ว่า เมื่อเขาขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของความเป็นผู้นำนั้นแล้ว เขาจะยอมให้ประวัติศาสตร์หมู่บ้านชุมชน ถูกเขียนตามความเป็นจริงได้หรือไม่ อาจจะได้ ตราบใดที่มันไม่ไปขัดขวางอำนาจของท่านผู้นำ ตราบที่มันไม่กระทบกระเทือนผลประโยชน์ทางการเมือง ทางการเงิน ทางพวกพ้อง ของผู้นำและพรรคพวก ธรรมดา ครับ ธรรมดาที่สุดเลย

   เรื่องต่อไป เหตุแห่งการตายของยายและตา เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นภาคต่อของเรื่องอีนางลุน เรื่องนั้นเธอตายแบบจับมือใครดมไม่ได้ แต่ผลกระทบก็คือ เมื่อมีมือที่สามหรือไม่ มีมือของรัฐเข้าไปสู่หมู่บ้านชุมชน ประวัติศาสตร์ชุมชนก็เลยถูกใส่สีตีไข่ หรือถูกทำให้ลืม ในสิ่งที่หมู่บ้านชุมชนควรจะจำ ส่วนเรื่อง ในการตายของยายและตา เป็นเรื่องผลกระทบโดยตรงที่มีสาเหตุ รู้ว่าใครทำ หรือว่าการชลประทานของรัฐ ไม่ใช่โอกาส ไม่ใช่ความสวยงาม ไม่ใช่การพัฒนา แต่เป็นฆาตกร ฆาตกรวิถีชีวิตชาวนา ฆาตกรที่ฆ่า สุนทรียภาพแห่งชุมชน สุนทรียภาพในครอบครัว สันติภาพในการทำเวียกทำงาน วิถีชีวิตเปลี่ยนไป ผู้เขียนนำเสนอในเชิงสัจนิยมมหัศจรรย์ งานเขียนประเภท ลี้ลับ อันยอมรับได้ ก๊าซมีเทนในทุ่งนาทำให้ปลาให้คน ท้องป่องพองและแตกตาย และมีสิ่งชั่วร้ายไหลออกมากับเลือดกับหนอง รูปภาพและเหมือนโคลนเหมือนตมเหมือนสีเหมือนเชื้อโรค ที่มากับการชลประทานที่ขาดการวางแผนโดยละเอียดรอบคอบ องค์การใดๆ หรือแม้จะกะหวัดไปถึงเรื่องของ ฆาตกร (เรื่องเอกเรื่องสุดท้ายของเล่ม) ที่นำเสนอผลกระทบของการสร้างเขื่อน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เงินทอนมากมายแค่ไหน โครงการนำความร่ำรวยให้ปวงงผู้เกี่ยวข้อง...อย่างไร  ส่วนชาวบ้านก็เป็นเครื่องสังเวยอย่างที่ว่ามาแล้ว อ่านเรื่องนี้แล้ว หดหู่ครับ ผู้แต่งเลือกข้อมูลมาใช้ได้ดี กลวิธีก็ให้ชวนติดตาม ตัวเอกยายกับตา ตายในลักษณะเดียวกัน ครอบครัวล่มสลาย คือถ้าลงว่า เสาหลักหรือบรรพบุรุษของครอบครัว
ตายห่--แล้ว ลูกๆ หลานๆ จะอยู่อย่างไรกัน?

   เรื่องต่อมาคือเรื่อง ข้าว น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับครอบครัวผู้แต่งเองไหม เพราะมีข้อมูลเชิงลึก อนุมานได้ว่าคงไม่ใช่การแต่งขึ้นแน่ๆ ต้องมีต้นเค้าจริงสินา... น่าจะเป็นข้อมูลชั้นต้นมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์แน่นอน เพราะเรื่องนี้ถูกทำให้เชื่อว่า เป็นเรื่องจริง ด้วยการใช้ผมเป็นผู้เล่าเรื่อง ผมเป็นตัวละครตัวหนึ่งในครอบครัวนี้ ครอบครัวที่มีข้าวเป็นคำตอบของทุกชีวิต ราคาข้าวดี ความฝันของพี่ชายคนเล็กก็จะเป็นจริงหรือแม้ราคาข้าวจะดีขึ้นมา เงินก็ยังไม่พอที่จะจับจ่ายดูแลให้คนในครอบครัวอิ่มหนำสำราญ แต่ทุกคนก็ต้องปากกัดตีนถีบนี้ลงไปกรุงเทพฯเหมือนเดิม ราคาข้าวแค่ตันละ 4,000  คงไม่พอ ตันละ 8,000 หรือหมื่นห้าก็ยังไม่พอหรอกครับ คนไม่เป็นชาวนาไม่รู้หรอก เรื่องนี้เป็นความแค้นอุกอั่งถั่งเทในฐานะลูกชาวนา สถานะผมผู้เล่าเรื่องที่ต้องไปบวชเรียน เพราะพ่อแม่ไม่มีไม่มีเงินให้เรียนต่อ ครอบครัวพี่ชายก็ต้องแตกแยก ทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่ก็หนีไปทำงานกรุงเทพ ปล่อยให้ลูกหลานอยู่กินตามประสาวิถีชีวิตที่ทุกคนจะต้องยอมลดทิฐิตัวเองอย่างพี่สะใภ้ที่ต้องทำกับข้าวสู่คนในครอบครัวกินด้วยความเหนื่อยล้า ก็ใช่ว่าทุกคนมันถึงจุดหนึ่ง ถ้ามันไปไม่ได้จริง ถึงจุดหนึ่งที่ความอดทนหมดลง มันก็ต้องหาวิธีใหม่ แสวงหาหนทางใหม่ ที่จะดำรงชีวิตให้อยู่รอดอยู่ได้ ถ้าคุณเป็นผู้นำ เป็นรัฐบาล เป็นนายก เป็นอะไรก็ตาม ถ้าคุณจะมาบอกว่าเลิกทำนาเถอะ ไปทำอย่างอื่น คุณมีอะไรรองรับเขาไหม พื้นที่ตรงนี้จะจัดโซนนิ่ง ไม่ต้องทำนาน่ะ คุณบ้าหรือเปล่า คุณต้องคิดอย่างอื่นนด้วย  ความสัมพันธ์แห่งวิถีชีวิต ความรื่นรมย์ในชีวิตของครอบครัวของพี่ของน้องของหลานของน้าอา มันจะต้องมี ทุกคนจะต้องมีส่วนที่จะถ่ายทอด ที่จะสืบทอด หรือที่จะปรับแปลงเปลี่ยนให้มันอยู่ได้ แต่จะปัจจัยที่ผู้นำซึ่งมีเงินมีทองมีหน้าวาสนาจะทำให้ได้อย่างยั่งยืน ก็คือ มันต้องเข้ามาดูแลเรื่องราคา ไม่ถูกรัดเอาเปรียบจากพ่อค้า แล้วพวกกระฎุมพี พวกเจ้าของโรงสีทั้งหลายเป็นเถ้าแก่เป็นเศรษฐี อันนี้ทำให้นึกถึงตัวเองตอนที่ไปขายข้าวให้กับโรงสี เราตัวเล็กมาก-ชาวนา แต่เจ้าของโรงสีสิ เขาว่าเป็นจักรพรรดิชี้เป็นชี้ตาย จะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ เขาสามารถไล่เรากลับบ้านได้ ไม่รับซื้อก็ได้

    เอ้า---มาถึงเรื่องสุดท้ายแล้ว คือเรื่อง ฆาตกร ในทัศนะของผู้อ่านอย่างผม กลวิธีการแต่งเรื่องฆาตกรเป็นบทสรุปในแนวทางการเขียนเรื่องสั้นของวิทยากร โสวัตร ได้ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องสั้นที่ได้รางวัลแล้วจะเป็นหมุดหมายอะไรมาก่อน แต่ว่าเมื่อได้อ่านการวางเรื่องมาทั้งหมดทุกเรื่องในเล่มนี้ เป็นที่สังเกตว่า กลวิธีต่างๆ ที่ วิทยากรเขียนและแสดงไว้ในทุกๆเรื่อง ถูกนำมาใช้ ในการรังสรรค์เรื่องฆาตกรนี้ ทุกวิธีการ ทั้งแนวเนื้อหาเกี่ยวกับความตาย วิธีการสร้างกระแสสำนึก
มุมมองของผู้เล่าที่เป็นตัวละครในเรื่อง มุมมองแบบ Bird Eye View  ลำดับเรื่องแบบสลับเหตุการณ์ไปมาที่ผู้แต่งถนัด ภาษาง่ายๆ แบบบ้านๆธรรมดา ไม่ประดิดประดอย มุ่งไปที่แก่นเรื่อง พุ่งไปที่สาระของเรื่อง มากกว่าที่จะแวะชมดอกไม้ริมทาง อันนี้เป็นเสน่ห์เป็นความตรงไปตรงมาของนักเขียนคนนี้ แต่เมื่ออ่านดูดีๆ นะ การแต่งประโยคก็ดี การเข้าประโยค การลำดับความนั้น ในความง่ายมันกลับเป็นความงามที่เราสัมผัสได้ โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม เหมือนเรานั่งคุยกับเจ้าตัวนั้นแหละ นะครับ มันดูเนียนเป็นธรรมชาติ มันดูหรือใช้คำว่า ลื่นไหล
จะสรุปตรงนี้ว่า มันเป็นรวมเรื่องสั้นที่ลื่นไหลได้น้ำได้เนื้อ และซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์ ไม่ใช่คำชมจนเกินเลยนะ

   เอาล่ะ มองภาพรวมทั้งเล่มของเล่มหนังสือ การจัดหน้า การจัดเล่มหนังสือนั้น ผมมองว่าฆาตกรและเรื่องสั้นอื่นๆ เล่มนี้ของวิทยากร โสวัตร ผมชอบภาพประดับง่ายๆ ตรงประเด็น ภาพปลาก็ดี ภาพเหมือนภาพ เขียนผาแต้มก็ดี ครับ มันมีไม่เยอะแต่ว่ามันดูเรียบง่าย งามดี ผมชอบการจัดหน้าที่ไม่แออัดเกินไปนะ 25-26 บรรทัดต่อหน้า เราใช้แบตัวอักษรก็อ่านง่ายนะครับ อ่านง่ายดี น่ารักนะครับ ส่วนหนึ่งที่ผมชอบคือการแทรกคำวิจารณ์เล็กกๆ เป็นการนำเรื่องก่อนที่จะอ่านตัวเรื่องนะครับ
รวมทั้งการมีบทวิจารณ์ด้านหลังนะครับ ก็ทำให้เล่มสมบูรณ์นะ ตลอดจนการลงสุนทรพจน์งานรับรางวัลของผู้เขียนไว้ด้วยก็ดี ถือว่าเป็นรวมเรื่องสั้นที่สมบูรณ์ที่สุดเล่มหนึ่ง สมบูรณ์ในแง่ของการรวมเล่ม ในแง่ของการจัดหน้า ในการออกแบบหนังสือ รูปหน้าปกของอาจารย์โชคชัย ตักโพธิ์ ที่ดูเหมือนเม็ดข้าวอะไรนั่น ก็รู้สึกว่า จะเข้ากับเรื่องได้ดี เข้ากับเนื้อหาได้ดี สีที่ออกโทนน้ำตาล ดีครับ ฆาตกรเป็นสีของความเศร้าหม่น ดูกลมกลืนกันดีนะครับ (แต่การที่ปกแข็งมากไป เวลาเรากางหนังสือออกอ่าน มันดึงหน้ากระดาษาตามออกมาด้วยหนังสืออาจจะหลุดออกเป็นแผ่นๆ นะครับถ้ามีต้นทุนมากกว่านี้ เย็บกี่ได้ก็จะทำให้หนังสือเล่มนี้แข็งแรงขึ้นอีก ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร เป็นหน้าที่ของคนอ่านที่ต้องซ่อมหนังสือตัวเองอยู่แล้ว

   พูดถึงความประทับใจนะครับ อาจจะสรุปลงตรงนี้นะครับ ในเรื่องสั้นเรื่องฆาตกร สรุปตรงๆ ที่ว่าเป็นพื้นที่เรื่องสั้นที่ต้องจิตต้องใจ ก็คือต้องกับจริตของผม-คนอ่าน ในฐานะคนลาวนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อทางพุทธศาสนากับความเชื่อต่อการเมืองประชาธิปไตยน่ะครับ ต้องใช้คำว่าต้องจิตตรึงใจ

  ต่อไปนะครับ เรื่องกลวิธี กลวิธีที่ใช้ดูเหมือนจะไปทางการเขียน 100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว ของพ่อใหญ่มาเกซ หรือไม่ หรืออาจเป็นนักเขียนอาร์เจนตินาคนหนึ่งที่เขียนงานเรื่องสั้นสกุลชวนพิศวง อะไรประมาณนี้นะ (ชื่อเล่ม จบเกม โดย สนพ.ผีเสื้อ) แม้แต่การเปิด-ปิดเรื่องที่ค่อนข้างวางแผนให้สอดรับกัน เป็นความตั้งใจ จบแค่นี้แหละ ประมาณนี้นะ อันก็ทำให้ชวนฉงน ชวนตีความ ไอ้ชวนตีความนี่แหละที่อยากให้กลับไปอ่านอีกหลายๆ รอบ ถ้ามีเวลา ก็คือหลายครั้งที่อ่าน อ่านไม่เบื่อ อ่านแล้วตีความได้หลากหลาย โดยเฉพาะถ้าใช้ทฤษฎีฝรั่งเศส-ทฤษฎีสัมพันธบท ของโรล็อง บาร์ธ มาจับคู่แล้วก็ตีความ หาสัมพันธบทระหว่างคู่สัญญะสำคัญ ระหว่างคู่คนตายกับผู้ใหญ่บ้าน ผีอีนังลุนกับผู้ใหญ่บ้าน  พระบวชใหม่กับสังกะรี  พระบวชใหม่กับคนที่มาฆ่า หรือแม้แต่ เฒ่าจ้ำกับเจ้านาย ก็จะเห็นภาพสังคมประชาธิปไตยแบบไทย  สังคมแบบชาวบ้านที่ดำรงอยู่  มันจะไปกันได้ยังไง ไปกันได้ยังไง คนเล็กคนน้อยจะอยู่ยังไง จะออกมา...ยังไง จะทำยังไง ให้สังคมน่าอยู่ได้แท้จริง

   ในการนิยามรวมเรื่องสั้นชุดนี้นะครับ เป็นรวมเรื่องสั้นที่ไม่เสแสร้ง เป็นรวมเรื่องสั้น ที่ไม่ประดิดประดอย ไม่ประดักประเดิด แม้ว่าสารหรือแก่นเรื่อง มันไม่ง่ายที่จะกรอง คือ ผู้อ่านต้องสังเคราะห์เอาเอง มันเป็นบันเทิงคดีจริงๆ  ไม่ใช่วรรณกรรมคำสอน หรือไม่ใช่วรรณกรรมเพื่อลัทธิเพื่อประชาธิปไตย โดยตัวของมัน แต่มันเป็นเรื่องเล่า ทำหน้าที่ที่ควรจะเป็น  อ่านแล้วตีความเอาเอง ฆาตกรฯ นี้นั้นผมมองว่า เป็นเรื่องราวที่บอกเล่าผ่านปากขอลูกหลานไทบ้านที่มีฝีมือเชิงการประพันธ์

   มาดูที่ข้อที่ควรพิจารณา ข้อที่อยากจะคุยกับผู้แต่ง บางฉากบางตอนในบางเรื่อง มันเกินมาหรือเปล่า (ข้อมูลเฟ้อนิดหน่อยไหม) ลองพิจารณาดูนะครับ ถ้ามันเกินมา แต่อย่างว่า  อารมณ์มันมาอยากใส่ไว้เนี่ยแหละ ผมว่าบางเรื่อง เช่น เรื่อง ข้าว น่าจะไปทำเป็นนวนิยายสั้นนะ จะได้รสชาติจะได้ความกว้าง ความลึกซึ้ง มากขึ้นไปอีกนะครับ

  มาดูที่เรื่องเล็กๆ ที่ควรปรับแก้ หากมีการพิมพ์ครั้งต่อไป แต่ก่อนอื่นต้องยอมรับว่า หนังสือเล่มนี้ มีการพิมพ์ ผิดตกน้อยมาก นับเป็นข้อที่ควรปรบมือให้ แต่ก็มีนะครับ
  -เรื่องคนตาย ปักกลด เป็น กลด ไม่ใช่ กรด นะครับ 
   -หน้า 45  คั่งแค้น เขียนแบบนี้นะครับ   อันนี้ว่าตามราชบัณฑิตไทย – ถ้าเป็นเจตนาของนักเขียนจะสะกดตามที่พิมพ์ ก็ไม่ว่ากันครับ
   -หน้า 48 กับ 159  ข้อมูลของอาจารย์ดอกเตอร์ธิกานต์ ศรีนาราครับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตกงองูนะครับ (เห็นพิมพ์เป็น เชียใหม่)
   -หน้า 67  ร่ำลือ เขียนอย่างนี้ครับ ไม่ใช่ ล่ำลือ
   -หน้า 109  คำว่า ปราณี ที่แปลว่าเอ็นดู เป็นนอหนูสระอีนะครับ (ปรานี-รักเอ็นดู,  ปราณี-มีชีวิตอยู่ มีลมหายใจ)

เกือบลืม...ที่ประทับใจอีกอย่าง และสำคัญไม่แพ้ตัวบททั้งหลายในเล่ม ก็คือ  เสมือนคำนำ ของลูกสาวนักเขียน เธอเขียนจากใจ มันคมคายและวิเศษมาก ใครที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ของลูกวัยประถม แล้วลูกมองเราแบบนั้น... เราคงรู้สึกได้ว่า ชีวิตนี้ช่างน่ารื่นรมย์นัก...

ชื่นชมและเป็นแฮงใจให้เด๊อครับ

ธีรยุทธ บุษบงค์

อุบลฯ/21/01/2562




ปรารถนา

เมื่อตาข่ายความหวัง
กั้นทางเดิน
หลีกไม่พ้น
ติดตาข่ายว่ายดิ้นรน
เหมือนปลาเดือนเก้า
คราวน้ำออแก่ง

นานไหมเล่า
กว่าจะสิ้นสุดความทุกข์ทน

ทางหอม
อัง.26.11.2562


วางใจ

ใจกี่ดวงวางบนพานแก้ว
ใสกระจ่างตา

ใจกี่ดวงวางบนจานพลาสติกชั้นเลว
ทึบทึมสากผิวแห้งแล้งไร้ค่า
แม้ชายหางตาก็หามีใครไม่

ใจข้าฯวางบนใด

ทางหอม


วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563

⊙เหงา มิเหงา

เกิดเป็นลูกกำพร้าคำตาย
มีแค่ยายเลี้ยงดู เหงา มิเหงา

แก่เป็นชาวนาปลดเกษียณคำโดด
มีแค่เงาเป็นเพื่อน เหงา มิเหงา

เจ็บเป็นโรคร้ายคำมูล
มีแค่ยาเป็นเพื่อน เหงา มิเหงา

ตายเป็นศพข้างถนนคำโทโทษ
มีแค่เศษขยะเป็นเพื่อน เหงา มิเหงา

ทางหอม
เช้า15.10.2019


วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

⊙รัก ไม่รัก

เมื่อเห็นรูปทรง
ยวนใจให้รักมิวาย

เมื่อเห็นเนื้อหนัง
นวลผ่องปักใจปลื้มปองแนบชิด

เมื่อเห็นลึกข้างในใน
นำพาพึงใจพิศเพ่งเวียนวง

เมื่อรู้รอบขอบแก่นข้างในในนอกนอก
เปิดใจอ่านความจริงจริงจริง

รัก ด้วยนอกหรือในเล่า
ไม่รัก ด้วยขลาดหรือเขลาใด

ทางหอม
เช้า14.10.2019


วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2563

⊙ยิน

หัวใจข้าเหว่ว้า
ขณะยินข่าวโชคร้ายของคนอาภัพ

หัวใจข้าอ้างว้าง
ขณะยินข่าวยากไร้ของคนทุกข์จน

หัวใจข้าเปล่าเปลี่ยว
ขณะยินข่าวเศร้าสลดของคนหมองหม่น

หัวใจข้าเหงาซึ้ง
ขณะยินข่าวรันทดของคนท้อท้น

ข้าถูกลักพาหัวใจไปขังลืมแล้ว
ขณะยินข่าวประเสริฐของคนดีศรีนิยม

ทางหอม
เช้า13.10.2019


○ คู่ควร >

ข้าคู่ควรต้นไม้ใบหญ้า
เมื่อเป็นกวีผู้รักธรรมชาติกว่ารูปรอยถ้อยคำสัมผัส

ข้าคู่ควรทุ่งนาป่าข้าว
เมื่อเป็นชาวนาผู้รักนายิ่งกว่าหนี้สิน

ข้าคู่ควรสวนหอมกระเทียม
เมื่อเป็นชาวสวนผู้รักสวนกว่าเงินคำ

ข้าคู่ควรทางดินทรายขนาบพงหญ้าไหว
เมื่อเป็นนักเดินเท้าผู้รักกลิ่นทางกว่าจุดหมายปลายทาง

ข้าคู่ควรแสงเช้าส่องม่านหมอกหนาว
เมื่อเป็นนักสัญจรผู้รักความงามกว่าอำนาจศักดิ์ศรี

ข้าไม่คู่ควรสิ่งใดๆ
เมื่อเป็นผู้อยู่ในอุ้งเท้าความอยุติธรรมสาธารณ์

ทางหอม
เช้า11.10.2019




วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563

ปอกเปลือกปม
















| 1 |

งานงามใจเจนแจ้ง
เบื้องหน้า
รอยยิ้มผลิ ราวแอบยลเจ้า
ริมฝั่งของลมหนาวเยือน


| 2 |

หนึ่ง ยลเยี่ยมดวงหน้า
แปลกตา
สอง ในใจปานภาพปิดฝา
เช้าเย็นร่ำร่ำคำนึง


| 3 |

แปลก ยามไร้โรคา
เชิดนัก
มิคิดกลัว ดังหนุ่มชาวนา
ไถดำกล้าท้าฟ้าฝน


| 4 |

เครื่องมือวิเศษใด
ตรวจแจ้ง
ระดับความรักของลมปาก
บนเวทีกลางเมืองข่าว


| 5 |

โปรดเลือกสักอย่างเถิด
เจ้าเอย
ระหว่างเวลากับความทุกข์
แล้วหลอมปั้นเป็นดอกไม้


| 6 |

เมื่อผู้นำตลก
ลืมแก่
คล้ายหมากเล็บแมวแห้งฝาดเปรี้ยว
นกหนูเมิน แม้หิวโซ


| 7 |

ปรารถนาสูงส่ง
ดั่งวาด
ฝนน้ำฉ่ำเลี้ยงทุ่งข้าวเขียว
มิเอ่อท้นท่วมทับใด


| 8 |

คำที่หัวใจเขียน
คมซึ้ง
ตัวข้าฯคล้ายจอโฆษณา
รับใช้หัวใจดวงนั้น


| 9 |

หากให้ยอมรับว่า
ผิดบาป
โลกออนไลน์หลุดแตกเกลื่อนทาง
ยังซื่อสัตย์ต่อใจตน


|10 |

ต้นตะกบหลังบ้าน
หวานหอม
คึดถึงอีกต้นริมทางหลวง
ร้านส้มตำเย็นร่มเงา


| 11 |

ร่มเงาไม้รายล้อม
อ้อมกอด
ทุ่งข้าวเขียวร่วมชูช่อดอก
เถียงนารอรูปเงาใคร


|12 |

เมื่อมองผู้ประสบ
ข่าวร้าย
อกใจผลิความเห็นใจพราว
รู้รสชาติแค่เล่นเน็ต


| 13 |

เมื่อเป็นผู้ประสบ
ทุกข์เข็ญ
กายใจล้าอ่อนสิ้นแรงหวัง
คล้ายชีพชัตดาวน์ตัวเอง


| 14 |

มายิ้มเพียงพริบตา
แก้วใจ
ดั่งช่อดอกข้าวกันยายน
โอ...แสงทองวาบวูบวับ


| 15 |

ราวโพสต์หวังวาดหนึ่ง
เพิ่งแย้ม
ชั่วขณะปัดนิ้วเปื้อนตม
น้ำตามิทันหลั่งริน


| 16 |

คลิปขุดแม่น้ำใหม่
เชื่อมของ
ยากง่ายคล้ายสร้างสิ่งใดเล่า
เทียนปูนหรือทางแปดเลน


| 17 |

ลองแอพกันน้ำท่วม
อุบล
ขุดแยกมูลใหม่ระบายไว
น้ำของยิ้มให้มาเร็ว


| 18 |

ถามถึงดอกไลค์บาน
ทุกโพสต์
สเตตัสเซื่องซึมแอบยิ้ม
หลอกผีเสื้อเศร้ากดรัก


| 19 |

วันสุดท้ายฟริตตี้
เศร้าเช้า
ขยายวันทั้งหลายเหล่าใด
วิญญาณบอกกล่าวเงื่อนไหน


| 20 |

นกดำกิ่งยางใหญ่
แผดเข้ม
ออกรวงเป็นหินแห่นะข้าว
เกี่ยวสีใช้สร้างทางหลวง


| 21 |

ข้าวกองามถามฟ้า
เมฆหนาว
กี่ชาติกี่ภพ ข้าวคือข้าว
แต้มแต่งนาเติมหวังคน


| 22 |

ไดรฟ์ออนไลน์อัดแน่น
ภาพจำ
อัลบั้ม "เก็บกอดบาดแผล"
ตายดิจิตอล แชร์ตาย


| 23 |

ข้ามศพเคารพชาติ
ตุลา?
ขยายเขาวงกตหมกเม็ด
พิพากษาประหารสัง


| 24 |

ความทรงจำผุดเตือน
คุ้นเคย
พร้อมแชร์สุขทุกข์ย้อมอดีต
ลมเช้าใหม่ยิ้มถามทาง


| 25 |

ผิดถูกในเคียดขม
เคืองข่าว
ประโยคปฏิเสธตะโกน
ประท้วงวลีบอกเล่า


| 26 |
ดูถูกคำต่อคำ
บันทึก
เป็นความเรียงอภัยชาติทุ่ง
ร้อยกรองลำเลิกข่าวคาว


| 27 |
ตายแล้วตื่นตาเห็น
ทั้งเมือง
โลกสงบคล้ายถูกอันเฟรนด์
คุยคาบเรียนบทสุดท้าย


| 28 |
ข้อสังเกตความจริง
คลิปดัง
ล้อเลียนความเท็จสนุกนัก
เนื้อทุเรียนกลิ่นส้ม


ทางหอม | น้อยในตา แต่ใจปรารถนามิประมาณ
ปลายกันยา-สิ้นธันวา 2562




ถามข่าว

ถามข่าวอุบลบ้าน-วารินฯ น้ำหลั่ง
โฮมหลายนอ
ถามข่าวไทฮิมมูน
ห้วยขะยุงยังนองน้ำ
ทางตาลสุมกะท้นท่วม
ทางตระการหลายหม่องบ่อน
ทางสว่างวีระวงศ์ก็บ่น้อย
ทางพิบูลนั่นมวลน้ำกะอั่งออ

และอีกหลายบ่อนบ้าน
เฮือนซานเป็นอยู่จั่งใด๋หน่อ ในน้ำนั่น
การกินอยากข้าวน้ำพอให้ส่วงหิว ยุนอ
ควมเป็นอยู่นั่นลำบากพอทน ส่ำใด๋
นาสวนวายเสียหาย สิหาหยังผ่อนเพาลงบ้าง
เครื่องมือหากินนั่น เพพังพอซ่อมบ่
สารพันทั้งหนี้ สิมีท้างดอกป่องแปว
อยู่ดอกเดอ พี่น้องเอย

แนวบ่เป็นบ่ฮู้
แนวผู้บ่ประสบภัย
ขมขื่นอุกอั่งใจ ส่ำใด๋บ่มีฮู้
คือจั่งกอข้าว บ่ฮู้ฮ่อมทางเทียว
ปลากะลอยวังเวิน บ่ฮู้ฮากหยั่งลงภายพื้น
ผุข่าซอมสงสารแท้
มีข้าวของ...พอได้ส่อย ตามมีแหลว
แต่ว่าทางอกใจหมู่เจ้า บ่มีหม่องสิส่อยตาง

ได้แต่ถามข่าวเจ้า
ถามไถ่ให้แฮงใจนี่ล่ะเดอ
ถามด้วยควมห่วงใย
ถามส่งกำลังใจ ให้สู่คนให้ยืนได้

ไวไวถ่อน ธาราให้ไหลหลั่ง ไปสา
ให้พ่อแม่พี่น้องฮิมมูนบ้าน
ได้คืนบ้าน ทำกินได้ดั่งเดิม

ฟ้าวเดอ น้ำเอย ฟ้าวไหลไปสาเดอ
ไวไวแนเถาะ น้ำเอย

#ถามข่าวไทอุบล
ทางหอม
๒๓.๙.๒๕๖๒



วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563

หลงทาง

ข้าน้อยปีนลงหลุมดำ
ค้นหาจดหมายรัก
จากดินแดนป่าหมากเค็ง

ก่อนพลัดหลงเข้าไป
ในถ้ำความเท่าเทียมเทียม
ขณะฟังเพลงนิ่งจากชาแนลยูทูป
ของดาวเคราะห์ดวงนั้น

ทางหอม


วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563

🍂บ่เคยบ่เปลี่ยน🍃

สูญหาย
บ่อาจเรียกคืนด้วยเสียงบริสุทธิ์
ของน้ำค้างหล่นแตะใบข้าว
บ่อาจใช้แสงสุริยันจันทราดาราส่องหาเจอ
บ่อาจเยี่ยวยาด้วยรักภักดี
บ่อาจฟื้นฟูด้วยอ้อมกอดอุ่นๆ
บ่อาจเติมแฮงหวังด้วยระฆังทิพย์
แห่งเสียงสวรรค์ของหมอลำสาวเมืองโพนทอง-จำปาสัก

สูญหาย
ระหว่างก้าวย่ำย่างบนทาง
สายฝุ่นระแวงระวังพิษฮ้ายภัยฮักหอม
ระหว่างพักเหนื่อยที่ศาลาริมทางสายยางชุม-ศรีเกษ
ระหว่างค้างแรมในเฮือนพักฮิมแม่น้ำของเมืองโขงเจียม
ระหว่างควมคึดงามใสปานน้ำส่างกินคุ้มวัด
ปะปนมืดหมองท่อเถ้าเฟียงปกผักแนวน้ำสองเดือนมีนา

โอ---สูญหายไปไสหน่อ
หัวใจวัยเยาว์ข่อยเอย

ทางหอม คิมหันต์
ศ.9.8.62
🔖หว่างเม้นต์ใต้โพสต์ของศิลปินครูเพลงกวีหนุ่ม "โชนศาสตร์ ก้อนทอง"🏷



วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563

แด่ 11 ปี ร้านหนังสือ ฟิลาเดลเฟีย

ในนามคนตักน้ำกิน
   ฟิลาเดลเฟียคือส่างน้ำแซบ-บ่อน้ำทิพย์
ในนามคนหาห่มเงา
  ฟิลาเดลเฟียคือห่มขะยิมหอมพวงพั้ว
ในนามคนจรไร้รัง
   ฟิลาเดลเฟียคือเฮือนแรม

ในนามควมฮัก
  น้ำหนักหนังสือเป็นฟิลาเดลเฟีย
ในนามควมเข้าใจ
   ระยะทางหนังสือเป็นฟิลาเดลเฟีย

ฟังสิ!
เสียงเพลงลำทำนอง
   หัวใจน้ำส่างกินแซบเต้นเตือนฝัน
   หัวอกฮ่มขะยอมบานนวลหอมกระซิบซึ้ง
   หัวจิตเฮือนแรมเอื้อนเอ่ยคำเชิญพำนักสักครั้ง

วัดด้วยกาละครบรอบสิบเอ็ดขวบ
   น้ำหนักเหมาะถืออ่าน
   ระยะทางเหมาะเทียวมาสู่

โอ ฟิลาเดลเฟีย ร้านหนังสือในสวนดอกไม้
   หม่องที่ม่วนคีงบางทางการอ่านและสนทนาประสาฮักแก่นมั่น
   "สุขสัมพันธ์เกี้ยว แสนชั้นสิเน่หา
   เป็นป่องเอี้ยมให้มาเอิ้นอ่าวอักษร
   ยิ่งนานมื้อ แฮ่งฮุ่งเฮือง
   นั่นเด๊ ๆ"

ทางหอม
ส. 11.01.2020

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2610971145617501&id=100001139221669


🍂บ่เคยบ่ฮัก🍃

บันทึกไว้ในมือถือ
บ่กล้าส่งให้ใผ
บ่กล้าโพสต์ออกไป

ทุกลมหายใจ
มีฮัก
มีวันวาน
มีวันพรุ่ง
ทุกลมหายใจ

ฮักผักแว่นงานนาข้างเถียงกกไฮและตากล้า
ฮักเบ็ดคันที่เหลาเอง ยักเอง ใส่เอง แม้ยามได้แต่ปลาเข็ง
ฮักเพลงลมต้องใบส้มแบงแกมใบหว้าคูต้อนคลองลงห้วย
ฮัก---

ทุกลมหายใจ
มีฮัก
มีวันวาน
มีวันพรุ่ง
ทุกลมหายใจ


ทางหอม คิมหันต์
ศ.9.8.62
🔖หว่างเมนต์ใต้โพสต์ของกวีหนุ่ม "ไพรยุทธ สะกีพันธ์"🏷


🍂สิทันยุนา🍃

ราคาฮักส่ำข้าวสดจากรถดูดจักสอบ
ราคาซังส่ำเฟียงแห้งจากรถอัดจักก้อน
ราคาสุขส่ำเงินสดเงินฝากจักล้าน
ราคาทุกข์ส่ำหนี้จักธนาคาร

บอกให้ฮู้แน
ฝากมาในไลน์เดอ
ในเฟช-เมสเซ็นเจอร์ กะได้

สีฟ้าวๆ แนเดอ
ย่านแบ็ตข่อยเหมิดก่อน
สิบ่ทันส่งคำตอบไปชิงรางวัลเงินหมื่น
ห่าพอได้ค่ายาฉีดหญ้าข้าว
ค่าปุ๋ยหว่านให้ฮวงงาม
ซั่นดอกหวา


ทางหอม คิมหันต์
พ.7.8.62
🔖หว่างอ่านโพสต์คำกวีของนักประพันธ์ฮ่วมสมัย "วิชัย จันทร์สอน"🏷



วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563

🍂บ่มะหับมะหาย🍃

คักแท้แหม สูนหลายคัก
ลมออกหูคนบ่แม่นหูหม้อฮวงกะต่า
ควมเห็นใผในเมนต์ใต้โพสต์
มาโพดคักแนแท้

มะส่างกล้าดูถูกบักหว้าว่าบ่หวาน
มะส่างกล้าดูถูกบักเบ็นว่าบ่ฝาด
มะส่างกล้าดูถูกบักส้มมอว่าบ่เป็นตาหย่ำคุยแจ่วพริกผง
มะส่างกล้าดูถูกบักส้มลมว่าบ่แม่นของกิน
---

จั่งใด๋จั่งกล้าว่า
ทางไปนาบ่สู้ทางไปวัด
ทางไปสวนบ่สู้ทางไปมหาวิทยาลัย
ทางไปเลี้ยงงัวควยบ่สู้ทางไปประกวดวรรณกรรมแห่งชาติ

มหัศจรรย์คำเว่าว่า
มโหฬารจินต์ในทรวงในไส้
มะหับมะหายไปในทะเลทรายใครเล่า
ยังสุกใสปานเม็ดน้ำค้างต้องแสงเช้า
มลังเมลืองในทุ่งข้าวสีใบข่าใผกัน


ทางหอม คิมหันต์
พ.7.8.62
🔖หว่างอ่านโพสต์คำกวีของนักประพันธ์ฮ่วมสมัย "วิชัย จันทร์สอน"🏷



วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563

🍂ปานบ่เคย🍃

โอม...ของกินดียี่ห้อเด่นดัง
ในร้านซื้อสะดวกจ่าย
ขายสะดวกจริง
เห็นบิลนับร้อยลอยอ่องล่องๆ
ปานเมืองฟ้าประทานมา

โอม...ของกินของใช้หลายรูปทรงตรงใจ
จากรถส่งของฮอดห้อง 
คนส่งสิ่งฮอดมือ
เห็นข้อความเงินออกไหลเลี่ยนๆ
ปานเมืองสวรรค์บันดาลดล

ส่วนอีกฟาก
ใผเข้าตลาดซื้อไข่
ใผเข้าตลาดซื้อปลา
---
จักรวาลตลาดเช้า
เห็นชีวิตสดๆ
ปานบ่เคยมาจักเทื่อ


ทางหอม
พ.7.8.62
🔖หว่างซอมการซื้อของกินอยู่ของคนยุคดิจิตอล🏷



🍂บ่แม่นตอนนั่นติ🍃

เจ็บปวดตอนนั่นไง
ตอนหมู่เฮาปล่อยให้เพื่อนเหล่าอสูรเอไอ
ออกคำสั่งที่ศูนย์ทับสูญให้บรรดาสมุนมันเผาภาษาเสียสิ้น
มนุษย์หยิบมือ
ไล่ไขว่าคว้าถ้อยคำ
ในฝุ่นขี้เถ้าของเสียงและความหมาย
เหล่าพยัญชนะแตกละเอียดเกลื่อนถนนออนไลน์
สระเหลือเศษเสี้ยวธุลีนาโนในแอพโฆษณานิรนาม
หางวรรณยุกต์ศักดิ์สิทธิ์ตัวพิการเลือนหายไปในแพชชั่นของขอทานป.เอก

ทุรนทุรายในลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ตอนมัวเมาอำนาจการจิ้มปัดอัศจรรย์นั่นไง
ขณะยักษ์สมุนอสูรเอไอจับนักประพันธ์แชทคนเหลือค้างโคกป่าเหล่าฮ่าง
เขย่ารีดเอาสัญญะชุดสุดท้ายแห่งยุคสิบจุดเก้าเก้า---
มาใส่ลงไปในห้องเครื่องรถยนต์เวอร์ชั่นใช้ไฟฟ้าเสียบปลั๊กรุ่นมโนสำนึก
มือนิ่มนิ้วส่วยงามกดปุ่มสตาร์ทเดินเครื่องยนต์
กดเกียร์ถอยพุ่งทับบดร่างแบบบางของเขาจนแหลกละเอียด
แล้วขับออกไปยังอาณาจักรปราศจากสัญลักษณ์เสียงแลรูปสื่อสารใดๆ


ทางหอม คิมหันต์
4.8.2562
(หว่างอีกเมนต์ใต้บทกวีของกวีหนุ่มดาวดิจิตอลบรรณพิภพ
"อรรณพ วันศรี")


วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2563

🍂บ่กล้าว่าบ่เคย 🍃

-ภาคหลง-

แน่ล่ะที่รัก
รอยบากตรงโคนต้น
ทำให้บักพร้าวยากมีแนว
พ้าวออกช่อซุมแซงและออกหน่วย---

แน่ล่ะที่รัก
รอยไหม้จากไฟสุมทรงพุ่ม
ทำให้บักม่วงยากมีลูก
พ้าวเบิกฤกษ์ออกดอกและออกหน่วย---


-ภาคอภัย-

เยียวยาบาดแผล
ด้วยแคนเซิลคำตัดสิน
เยี่ยงเด็กป่วยโปลิโอบวกออทิสติก

เยียวยารอยตำหนิ
ด้วยเอนเทอร์ใจอุ่นกลิ่นแกงเห็ดหนาดอกจูมส้มผักติ้ว
ในภาชน์ข้าวงาย ณ โต๊ะอาหารคันแทนาปริ่มน้ำ


ทางหอม คิมหันต์
3.8.2562
(หว่าง ต่อขวัญคำจากลำธารสายหอมมโนทัศน์/
คำกวีบ่มีสัมผัส' กับกวี "อรรณพ วันศรี")


🍂ในบางโมเมนต์ 🍃

ใบไม้นาหนองบก
บอกฮักใบหญ้าคาโคกป่าเห็ดไค
ผ่านประติมากรรมรังนกจาบคา

ข้าฯโอบกอดนกใจ
ในสเตตัสภักดีเด็กเลี้ยงควย
ประดับด้วยแสงเงาผู้หลูโตน
ของกล่องคิดเห็นนานา
แซมลีลาสีสันการแชร์หมู่นั่น

ระหว่างชั่วโมงพักผ่อนของคนอกหัก
ซุมแซงผีเสื้อโพนผักบั่วแนวมากดไลค์
พี่น้องแมงจีนูนป่าหมากคันจ้องมากดฮัก
และญาติๆ ตั๊กแตนท่งมากดยิ้มหัว
ก่อนที่ลำล่องทำนองอุบลลาไลในยูทูปพันล้านวิว
อันมีมวลจีโป่มมากดเสียใจฮ้องไห้ใส่เดือนเพ็ง


ทางหอม
2.8.2562
(หว่างเมนต์ใต้บทกวีของกวีหนุ่มดาวดิจิตอลบรรณพิภพ "อรรณพ วันศรี")


วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563

🍂สถานะลมหายใจ🍃

-1-
ยังสภาพดี
บ่มีฮอยหมองเศร้า
คือบักแตงจิงติดตม มีแผลเน่าจากมดเสี้ยนดิน
บ่มีฮอยคึดค้อยลอยต่ำลง
จั่งตาเว็นพวมลับทิวไผ่หอลังฆังไม้ข้างกำแพงวัด
บ่มีขี้ตม ฝุ่นฝ้า---ส่ำรถปิ๊กอัพขับผ่านทางดินทรายผงลงมูนบ้านผักขะ
ยามแก่เฟียงไปกองไว้ปกโพนผัก
เป็นตาอยู่ตาเซาตาเคารพยุเดนี่

-2-
แต่บางหัวใจหมู่นั่น
ยังยื้อรักษาสภาพทรงบ่ทรุดจากพิษฮักฮ่าง
ยังใกล้สูญสิ้นการควบคุม
แต่บ่ทันฮอดยามซ่อมแปงแต่งแก้เสียเคราะห์
กะตาเป็นห่วงยุเดนั่นน่ะ

-3-
ลมหายใจแรงเร้า
แสดงสถานะหัวใจหยาบด้านบ่
ลมหายใจระบายเบ่งบาน
แสดงสถานะหัวใจรื่นรมย์สมหวังไหม
ลมหายใจหดลดขนาด---เบาบางจางวาบวับ---
แสดงสถานะหัวใจสงบราบเรียบไฉนกันเล่า.


ทางหอม
2.8.2562
หว่างเมนต์ใต้บทกวีของศิลปินครูเพลงกวี "โชนศาสตร์ ก้อนทอง"


วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2563

🍂ข่อยกับเขา🍃

ข่อยเคียนผ้าแพรไส้ปลาไหลสีแหล่สิ่ว
จากหูกต่ำใต้ตะล่างเฮียนฝีมืออีแม่
ในนั่นแม่นห่อข้าวเหนียว
ขี่ควยลงท่ง
ฮ้องเพลงลำ
ขับขานความหมาย
คนอกหักอันม่วนซื่น

เขาสะพายย่ามกระสอบปุ๋ยสีดอกบักเฟืองส้ม
กับหนังสือเรียน กศน. 2 เล่ม
ไว้เบิ่งและหมุนหัวนอนเว็น
เทิงสะแนนไม้ไผ่เหลื่อมมัน
ในเถียงหลังคามุงไพหญ้า
ใต้ฮ่มพร้าวฮ่มกอก
ข้างโพนผักเทียมอีพ่อ
ค้นหาเส้นทางชีวิต
จากความฝัน
ไทฟากท่ง


ทางหอม คิมหันต์
อัง.30.7.2562
(หว่างอ่านโพสต์บทกวีเกี่ยวแก่ข่าวเด็กน้อยกระดูกหลังคดงอ
ของ อรรณพ วันศรี )


🍂บ่เหลือค้าง🍃

ตายแล้วตายเลย

เอาส่ำฉีดยาฆ่าหญ้าหวาย
แล้วไถ ขุดฮาก เก็บกองจูดเผา
บ่ให้เหลือฝุ่น

เอาปานถอนทื้นหญ้าฮังกา
แล้วหอบกองใส่คันแท
ไว้เหยียบย่ำซ้ำตื่ม

เอาจั่งปราบกกสะนูในฮ่องนาตากล้า
แล้วตั้งแต่ยังบ่มีดอกมีหน่วย
คือหมายใจให้ดับแนว

พุ้นแหล่วล่ะควมคึด
ตายสา ตายเสี่ยง ตายเกลี้ยงสา
ตายแล้วกะแล้วดอก

คุณค่าส่ำหญ่าญุง
ไสสิท่อข้าวกอดีมีค่าผ่องทองคำเพิ่น
คุณค่าส่ำเกิดแกมเพิ่นในท่งในนา
ไสสิอ้อนวอนอยู่ต่อได้

ตายแล้วกะแล้วดอกตี๊
หรือใด๋ๆ


🔖ทางหอม 🏷
อัง.30.7.2562
(หว่างอ่านหญ้าในนาท่งข้าวหว่าน---)



🍂บ่นานดอก🍃

ขายข้าวเหนียวข้าวจ้าวซื้อปุ๋ย-ยา-ฮอร์โมนเพิ่น
เสียให้ร้าน-ให้ระบบ-ให้รัฐ---
อีกท่อใด๋

ขายผักบั่วหัวแดงหัวขาวซื้อแนวใช้ไปโรงเรียนให้ลูก
เสียให้ร้าน-ให้ระบบ-ให้รัฐ---
หลายปานใด๋

เสียเหงื่อแลกพืชผล
เสียควมคึดแลกบ่เป็นหนี้
เสียเวลาขอเป็นองคาพยพนำเพิ่น
เสียควมฝันแสนงามวามเท่ซุกญู่ชูค้ำสิ่งใดแนน้อ
เสีย---ไปจนมื้อตายพุ้นรึบ่

หกสิบปีลูกยังเป็นสาวบ่าว
เจ็ดสิบปีหลานยังบ่มาเกิด
แปดสิบปีหลานเกิดเป็นขวัญคีงอุ่น
เก้าสิบปีลูกลาออกจากงาน--- หลานเข้าเรียนฮู้อยู่บ้าน---
ร้อยปีหลานบ่ไปหางานเฮ็ดหม่องอื่น
บอกปู่ว่า

"บ่ดนบ่นานดอกปู่
นาเฮาสวนเฮาผืนสุดท้าย
สิกลายเป็นผืนแผ่นทองคำ"

🔖ทางหอม 🏷
อัง.30.7.2562
(หว่างอ่านข่าวว่า "คนจนบ่ต้องจ่ายภาษี")





เรื่องสั้นละอองฝัน 1

ชวนไปอ่านเรื่องสั้น ในเพจ "ละอองฝัน"

ผู้นำเสนอได้เปิดประด็นชวนสนใจว่า

จากเรื่องสั้นในหนังสือรวมงานเขียนของนักเขียนหนุ่มสาววัยมัธยม ชื่อ "ฝนฝัน" ของ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยศรีสะเกษวิทยาลัย และ "ละอองอุบล" ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยนารีนุกูล จ.อุบลราชธานี สู่ พื้นที่ออนไลน์ ในชื่อเพจ "ละอองฝัน"

โดยประเดิมด้วยเรื่องสั้นของสาวมัธยมแระจำจังหวัดศรีสะเกษ
ที่ท้าทายให้อ่านและตีความความสัมพันธ์ของหนุ่มสาว ในฉากบรรยากาศโรแมนติกของภาคเหนือ อันชวนหลงไหลที่มีประวัติศาสตร์ครอบครัวเป็นสีสัน

เรื่องเต็มๆ เป็นเช่นไร ชวนไปสัมผัสฝีมือของเธอคนนี้ ได้ในลิ้งค์ข้างล่างนะครับ

https://wp.me/pbwXU3-4o



วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2563

kamtaem คำแต้ม #1

ระหว่างคำภาษากับชีวิตคนๆหนึ่ง สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน

คำพูดมิใช่หรือที่เปิดตา ชักจูงให้คนเดินทาง ต่อสู้ ผจญปัญหา กระทั่งมีชัยชนะ
คำพูดมิใช่หรือที่ปิดใจ กดทับให้จ่อมจม ศิโรราบ ยอมรับสภาพ กระทั่งพ่ายแพ้...

คำพูดเป็นนายเมื่อเราปล่อยให้มันหลุดจากปาก หรือปรากฏเป็นตัวอักษร
คำพูดเป็นนาย ต้องเข้าโรงเรียน ต้องเรียนให้เก่ง ให้จบ ให้มีวุฒิ จะได้มีงานดีๆ ทำ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
คำพูดเป็นผู้ดูแล ต้องค้าขาย ลดต้นทุน เพิ่มกำไร ขยายกิจการ เพิ่มปริมาณการผลิต เป็นบริษัทอภิมหาชน
...

ชีวิตตกอยู่แทบเท้าคำพูด ใช่ไหม
ถ้าชีวิตไร้ถ้อยคำภาษาล่ะ
ชีวิตจะเป็นอย่างไร
จะดำเนินไปได้ไหม

กวี เจ้านายคำพูด ยากจนนัก
พ่อค้าที่สำเร็จ ใช้คำพูดเป็น ร่ำรวยนัก

หัวใจของคำภาษา คือการใช้สื่อสาร หรือ?
หัวใจของชีวิตคนๆ หนึ่ง คือการดำเนินสู่การงานและความสงบงาม หรือ?

โอ ชีวิต ยิ่งใหญ่กว่าคำภาษา
เมื่อชีวิตรู้ใช้คำภาษาอย่างเจียมตัว
อย่างนั้นหรือไม่



หลังคาน้ำ

ท่วมฮอดฝ่าตีน กะไคตี๊
ท่วมฮอดตุ่มค้อง กะเคยมี
ท่วมฮอดบีแข้ง แล้วบ่พี่
ท่วมฮอดขาโอ้ง แล้วต้องหนี
ท่วมฮอดง่ามขา แล้วห่านี่
มาไว้ตายแท้ บ่ทันได้ขงได้ข่าว
ขนของบ่ทัน แล้วอีแม่ญีอีพ่อญี
ท่วมฮอดชั้นสอง อีหลออีหลี
ท่วมฮอดหน้าต่าง มาซ่างเป็น
ท่วมฮอดหลังคา แนมหาบ่เห็น

หลังคาเฮือนชาน โอ๋นออยู่ไส
เห็นแต่หลังคาน้ำ
ฟังแต่เสียงคนฮ้องฮ่ำไห้

ฟากท่งนั่นเบิ่ง
เทียงนาหลังคาไพหญ้าผุ
จมมิดบ่เห็นแล้วสู
แล้วขี้เกียมขี้โก๋มันหลบมันลี้
ไปอยู่กกหว้า กกบก กกส้มแบง กกยาง
ทันอยู่ดอกตี๊

หลังคาเถียงนา โอ๋นออยู่ไส
เห็นแต่หลังคาน้ำ
ฟังแต่เสียงมดเสียงแมงฮ้องฮ่ำไห้

มื้อหนึ่งบ่หมอง
มื้อสองสามสี่พอทน
มื้อห้าหกเจ็ดใจหมองหม่น
มื้อแปดเก้าสิบเหลืออดเหลือทน
มื้อต่อจากนี่
ข้าวในนาถูกน้ำปล้น
ข้าวของทำกินถูกทำลายปี้ป่น

ชีวิตมื้อหน้าหันหาใผเดนอ
สิเห็นใจให้โอกาสคนทุกข์ยาก
คือข้าวในนาเปื่อยตายบ่เหลือซาก

แนมหลังคาน้ำ
ใจสิขาดสิหล่น

น้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำ
น้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำคนน้ำน้ำน้ำน้ำ
น้ำน้ำน้ำน้ำคนน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำ
น้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำคนน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำ
น้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำ

ทางหอม
20.9.2562



วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563

ว่าแล้วตั๋ว

คอนกะต่าไป
หิ้วครุถังไป
เคียนแพรไป
บ่ต้องย่านบ่มีแนวใส่...

กระเป๋าผ้าฝ้ายสีแดงมีซิปพร้อม เรื่องสั้นโดย คีต์ คิมหันต์


🌜อ่านเรื่องสั้นกัน คั่นบทกวี สักหน่อยครับ 🌝

----------------------------------------------------------
กระเป๋าผ้าฝ้ายสีแดงมีซิปพร้อม | คีต์ คิมหันต์
----------------------------------------------------------

กระเป๋าผ้าฝ้ายสีแดงเพิ่งถูกเย็บใส่ซิปมาเรียบร้อย เพิ่นเอามาคืนให้  หลังจากนำกลับไปใส่ซิปและพาออกเดินทางไกลครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปีที่แล้ว
อันที่จริง จะเรียกว่าเอามาคืนบ่ได้ เพราะเดิมทีข่อยเองเป็นผู้ได้รับมาจากมือเพิ่น 
“กระเป๋าแดงนี่ เอามาฝากค่ะ” หญิงสาวยื่นให้ ยิ้มหน้าบาน
 “เนื่องในโอกาสหยังนอครับ” ข่อยตกใจปนปลื้มอก
 “วันเกิดค่ะ เห็นชอบสะพายย่าม” เธอพูดเสียงใสแจ๋วราวกระจกวิเศษ 

 

ควรจะเอิ้นว่าถุงผ้าจั่งสิถืก ในนั่นมีแท็ปเล็ตโตหนึ่ง หนังสือแปลเล่มหนึ่ง กวีนิพนธ์
ของสำนักพิมพ์บ้าน ๆ 3 เล่ม ที่เพิ่งรับมาจากโรงพิมพ์ในแบบปริ้นต์ออนดีมานด์ (ปกละ 50 เล่ม) เจ้าโตกำลังเบิ่งทวนและทานความถูกต้อง
บางขณะข่อยกะยิ้มให้กับตัวบทที่ยกชูใจ  การออกแบบเล่มที่ม่วนคีง แต่แล้ว
ลมใต้ฮ่มกากะเลาที่เย็นกาย กะบ่ช่วยให้ใจซำบายได้ เพราะเห็นคำพิมพ์ผิดในกวีนิพนธ์ชุดที่เขากำลังถืออ่าน ‘เอื้อเฟื้อ’ เป็น  ‘เอื้อเฟื่อ’ ‘กวีนิพนธ์’ เป็น ‘กวีนิพนธ์’  แถมยังพบการออกแบบจัดหน้าบทกวีชิ้นหนึ่งชิ้นเดียวในหมวด ภ ที่บ่ได้ขยายชื่อเรื่องเป็นขนาดใหญ่ตามแบบที่วางไว้ แถมชื่อเรื่องก็พิมพ์ตก  จาก ภาพหลอน  เป็น หลอน 
อนุกรมารมณ์ กวีนิพนธ์ของเพื่อนกวีผู้นี่ช่างงดงามนัก มีสำนวนแปลกใหม่เล็ก ๆ 
แต่หลุดมาจากภาพกรอบกรงของกวียุคก่อนและยุคเดียวกัน เป็นเล่มรวมบทกวีที่กลมกลืนกับอารมณ์ยุคสมัย ที่การไหลบ่าของข้อมูลในโลกจริงสู่โลกเสมือนและการย้อนกลับจากโลกเสมือนสู่โลกจริงอย่างบ่มีขอบขั้นตลิ่งกั้นแต่อย่างใด
ข่อยตั้งใจว่า จะส่งเล่มนี้เข้าประกวดประชันขันแข่งกับหมู่กวีเพิ่น ทุกเวที   
แต่บางที  กะจักสิส่งไปเฮ็ดหยัง  หนังสือคือรางวัลของผู้แต่งในตัวอยู่แล้ว  ใช่ไหม? 
บ่แม่นตี้?

      ข่อยพบกวีหนุ่มครั้งแรก คราวไปงานค่ายนักเขียน-อ่าน และพิจารณาวรรณศิลป์ที่โรงเรียนขุขันธ์เมืองเก่าไปทางใต้ของเมืองอุบลจักร้อยซาวกิโล

     “คุณเขียนกวียุนอ” ผมถามขณะนั่งคุยกันตรงสนามหญ้าหน้าอาคาร ขณะที่นักเรียนในค่ายกำลังนั่งฝึกเขียนงานวรรณกรรมกันตามชุดม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้
     “ครับ ฝึกเขียน แต่ไม่รู้จะส่งไปไหน อย่างไร”
     …
      แล้วเราก็คุยกัน และเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนั้นมา
     ในย่ามสีแดง มีกวีนิพนธ์เล่มหนึ่งที่กวีเจ้าของผลงานได้ลงลายเซ็น และข่อยได้เขียน “คำมอบ” จากเอิ๊กใจให้หญิงสาวผุ๊งามค่อง ในวาระธรรมดาๆ ของชีวิต ปีละเทื่อ ก็วันคล้ายวันเกิดของเพิ่นเธอนั่นล่ะ
     กวีนิพนธ์เล่มน้อยนี้นับเป็นผลงานการคัดสรรและจัดรูปเล่มด้วยความตั้งใจสูงยิ่ง อาจ
ใกล้กับความตั้งในการสลักยอดพระธาตุพนมสมัยใหม่ เพราะเป็นการรวมงานบทกวีเล่มแรกในชีวิตของเพื่อนกวีหนุ่ม ต้องดูแลให้เป็นที่พอใจ ซึ่งเมื่อเจ้าตัวเห็นแล้ว ก็ดูเหมือนจะพอใจอย่างมากทีเดียว
      ในฐานะบรรณาธิการ ข่อยจึงพอใจและภูมิใจหลาย
      สายลมพัดใบจานหน้าร้านพลิกพรึบพรับกลับไปมา เหมือนคนโบกมือทัก นกเมืองตัวหนึ่งส่งเสียงร้องจากกิ่งที่ยื่นไปทางน้ำตกจ าลอง ข้อยนั่งจิบกาแฟรอเธอ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ ถอนหายใจหลายครั้งหลายเทื่อ
      นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่รู้สึกประหม่า ขาดความมั่นใจ กลัวว่าจะทำอะไรเปิ่นๆจนอาจทำให้มิตรภาพที่ดีวันดีคืนระหว่างข่อยกับเพิ่นต้องมีอันถอยหลังเสื่อมค่าลงอย่างไม่อาจกู้คืนและยากจะให้อภัยตัวเองได้ตลอดชาตินี่
      ยี่สิบปีที่แล้ว ข่อยเคยนั่งรถเมล์ตามหญิงสาวไปเพื่อส่งเธอเข้าหอพักนอกมหาวิทยาลัย แต่พอเธอลง ขาก็แข็งไม่กล้าลงและเดินตามเธอไปได้ ก่อนที่วันต่อมา เราจะไปทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารข้างตึกเรียนภาษาศาสตร์ด้วยกันกับเพื่อนสนิทของเธอ  เป็นโอกาสให้เธอบอกปฏิเสธความรู้สึกแบบคนรักและแต่งตั้งให้ข่อยเป็นอ้ายซายที่น่ารักคนหนึ่งของเธอแทน
จากน้องสาวคนน่าฮักผลักออกมาจากประตูสิเน่หาเป็นสองปีได้ ก็มาสู่คนน่าฮัก
คนใหม่ที่ข่อยติดตามเธอไปถึงหอพักใน เราได้คุยกันหลายครั้งที่ชุดม้าหินอ่อนหน้าหอ  ความรู้สึกของข่อยที่มีต่อสาวในยามนั่นคล้ายๆ ย่ากำลังใช้ไม้แต้มลายผืนเส้นไหมมัดหมี่อันละเมียดละไม ก่อนสินำไปกรอใส่หลอดเครือไส้ตันหรือไม่ก็ก้านต้นหมากลิ้นฟ้าลิ้นไม้ แล้วนำไปไส่ในกระสวยอีกจนเมื่อเอาไปสอดต่ำขัดไขว่กับเครือหูกเป็นผืนแล้วนั่น จึงเผยลายเครือลายก้านลายดอกฮักหอมบนผืนผ้าไหมที่สวยงามมิ่ง ยิ่งกว่าต้นแบบธรรมชาติ แต่ดูเหมือนการรุกไล่เพื่อเติมเต็มความสุนทรีย์ดังกล่าว จะไม่ทำให้ความเป็นพี่น้องร่วมสถาบันกลายเป็นอื่นไปได้  สุดท้าย  ความพยายามก็ต้องยุติลงด้วยความนับถือเสมอพี่ชายคนหนึ่งอีกคำรบ
มาครั้งนี้  สาวเจ้าในฐานะนักอ่านนักเดินทาง ที่พิสมัยความเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
จะมาให้คำตอบข่อยแบบไหนกันนะ นกที่ฮ้องอยู่บนกิ่งจานนั้น บอกใบ้คำตอบหรือบ่น้อจิ๊บ ๆ จบ ๆ …”
เรารู้จักกันมา ก็ปาเข้าไปสิบสามปีแล้ว  หากนับรวมตั้งแต่ปีที่ข่อยแอบสนใจ
ฝ่ายเดียว และในอีกสามปีต่อมา ก็ขยับความคุ้นเคยคบหาเธออย่างเป็นทางการ 


วันนั้นมีงานเปิดตัวหนังสือท่องเที่ยวจำปาสักโดยใจฮักจำปาซึ่งเพื่อนสาวของเธอ
เขียน ณ ร้านหนังสือในสวนดอกไม้ ใกล้ฮั้วมหาวิทยาลัยบัวเผื่อนธานีของเฮา เธอเข้าร่วมงานในฐานะมือกล้องประจำตัวนักเขียน ข่อยก็ไปไปในฐานะนักอ่านผู้ใคร่รู้
       หลังจากหนุ่มเจ้าของร้านได้กล่าวนำถึงที่มาที่ไปของหนังสือจบลง ก็ป้อนคำถามให้นักเขียนตอบ เริ่มจากแรงบันดาลใจการบันทึกเส้นทางการท่องเที่ยวของตน ไล่ตั้งแต่ด่านช่องเม็ก เข้าไปเมืองเก่าจำปาสัก  วัดพู ข้ามแม่น้ำของไปพักค้างแรมในเมืองปากเซ  ลัดเลาะกินอาหารฮิมของและสถานที่ต่าง ๆ ในเมือง  ก่อนที่จะไปตามเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติ น้ำตกคอนพะเพ็งที่ต้นไม้แห่งคำทำนายสามกิ่งได้ล้มลงและถูกเคลื่อนย้ายขึ้นบก ตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ริมแม่น้ำของ นั่งเรือข้ามไปดอนซาด ดอนเดด ชมน้ำตกหลี่ผี ดื่มน้ำมะพร้าวหวานหอม พักที่ดอนซาดคืนหนึ่ง แล้ววกกลับขึ้นไปที่ราบสูงทางตะวันออก ชมน้ำตกตาดผาส้วม ตาดเยือง ตาดฟาน พักที่นั่นคืนหนึ่ง ลัดเลาะชมไร่กาแฟ สวนทุเรียนริมทาง  สุดท้ายก็ลงมานอนที่ดอนโขง  ปั่นจักรยานเล่นที่นั่น  เนื้อหาก็เป็นประมาณนี่ล่ะ
         ขณะที่เจ้าของผลงานกำลังพูดนำเสนอ  ผมก็พลิกดูหนังสือไปด้วย  ภาษาร้อยแก้วสละสลวย มีกวีโวหารแทรกเป็นระยะ ไม่ขาดไม่เกิน แต่ที่น่าสนใจพิเศษกลับเป็นภาพประกอบขาวดำ แปลกนัก เท่าที่เห็นผ่านตามา หนังสือท่องเที่ยวร่วมสมัยนั้น ทั้งหลายเขาจะพิมพ์ภาพประกอบสี่สีกัน ภาพขาวดำก็เห็นจะมีในหนังสือแนวประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหาภาพสีมาประกอบได้ มุมมองภาพแต่ละภาพแปลกตายิ่งนัก  อย่างภาพหลี่ผี   แทนที่ช่างภาพจะถ่ายให้เห็นการตกตาดของสายน้ำที่ถูกแก่งหินขวางกันเป็นมุมกว้างเพื่อเน้นความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำของตอนมหานทีสี่พันดอน กลับมีแค่รูปถ่ายส่วนปาก หลี่ที่ปลาแม่ของตัวหนึ่งกำลังกระโจนว่ายกระเสือกกระสนทวนน้ำออกมาด้วยความหวาดกลัว  มันช่างเชื่อมโยงกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ในลักษณะวิพากษ์  ที่อะไรกันเล่ามีอิทธิพลรุนแรงจนทำให้มนุษย์ลุกขึ้นมาฆ่าแกงยิงแทงฟันกันจนศพเกลื่อนลำน้ำลอยไปติดหลี่จนเน่าเหม็น
       หลังนักเขียนเว่าจบ  พิธีกรเจ้าของร้านผู้ถนัดการปลุกใจด้วยพลังน้ำเสียง การเน้นคำ ดัง เบา  ฟังได้รส  จะถามคำถามเหมือนฮู้ใจข่อยว่า  ฮูปถ่าย เป็นหยังจั่งเป็นขาวดำ นักเขียนมองไปทางเพื่อนผู้เป็นมือกล้องประจำตัวในการเฮ็ดงานเล่มนี้แว้บหนึ่ง ให้คำตอบว่า เท่าที่เห็นฮูปในหนังสือแนวประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งเขียนไว้ ในกาลก่อนเกี่ยวกับแผ่นดินโบราณหม่องนี่นั่น  ก็เป็นฮูปแต้มลายเส้นขาวดำเหมิดบ่แม่นตี๊  ฮูปขาวดำมีเสน่ห์นะ  คุณๆผู้ชายกะมักสาวๆ นุ่งซิ่นไหมสีดำย้อมบักเกลือ ใส่เสื้อฝ้ายสีดำคือกัน บ่แม่นบ้อ เธอกวาดสายตามองผู้มาฮ่วมงานราวสามสิบ  ที่นับหัวผู้หญิงได้บ่ครบนิ้วมือ นอกนั้นเป็นผู้ชาย  แล้วเธอกะยิ้มอ่อนหวาน มองคนนี่ทีคนนั่นที
       ข่อยจำบ่ได้ดอกว่า หลังตอบคำถามที่ว่าแล้ว มีผู้ส่อถามนักเขียน หรือวิพากษ์งานเขียนเล่มนั่น จั่งใด๋แหน่ เพราะข่อยหม่ายไปเว้าจากับสาวเจ้า  ผู้เป็นมือกล้องที่นั่งจิ๊บไวน์แดงยุซุ้มดอกส้มมั่งเล็บมือนางผู้เดียว
  

สาวเจ้าเดินเข้าร้านมาตอนใด๋บ่ฮู้ แต่พอลืมตาจากความคิดฝันข่อยกะเห็นเพิ่นนั่งยิ้มยุตรงหน้า มุมโต๊ะของร้านกาแฟในสวนป่าขนาดเล็กริมแม่น้ำมูน ชานเมือง นานแม่นยามใกล้พระตีกลองเพล บ่มีใผ บรรยากาศเย็นสบาย กลิ่นหอมดอกข้าวที่หัวลมหนาวอุ้มมาฝากมาเผื่อ มันเฮ็ดให้คึดฮอดบ้านเก่าเมืองเกิดร่างสร้างโตตน  บ่แพ้แหล่ว
        “มาโดนแล้วบ้อข่อยถามออกไป พยายามทำเสียงให้นิ่งเป็นธรรมชาติ 
จักหน่อยแล้ว”  เธอว่าเห็นหลับเลยบ่ปลุกยกกล้องในมือขึ้น กดฮูปหยังบ่ฮู้  
สองสามที แล้วเล็งกล้องมาทางข่อยขอถ่ายฮูปอ้ายแหน่  เอาแบบขาวดำน้อ
        ข่อยยิ้ม และทำท่าเป็นนายแบบตามสั่ง อย่างว่าง่าย 
บ่ต้องเกร็งดอกท่านบอ กอ  เอาตามที่เป็นอ้ายนี่ละ
วางกล้องลงบนโต๊ะ  แล้วหยิบหนังสืออนุกรมารมณ์ที่ข่อยวางบนย่ามสีแดงไปเปิด
หน้าแรกอ่านเสียงดัง หน้าข่อยเริ่มแดงนิดๆ  ใจหนึ่งว่าอยากห้ามผู้สาว เพราะคันว่าบ่มัวใส่หูฟังแล้ว ในรัศมี  สิบเมตรจากโต๊ะนี้  จั่งใด๋กะได้ยินได้ฟังเสียงอ่าน คำมอบหนังสือเล่มนี้ให้เธอ อ่านจบเพิ่นกะหันมาทางข่อย ปั้นหน้ายาก ขมวดคิ้ว  ถลึงตาหน่วยใหญ่คู่นั่นจนเห็นตาขาวหลายขึ้น หัวใจข่อยเหมือนเทียนก้อนถูกโยนลงใส่หม้อต้มของวัดหนองปลาปากในห้วงยามทำเทียนพรรษา แต่บ่ทันที่ข่อยสิคิดอ่านและสรุปจบความสัมพันธ์จากอากัปกิริยานั่น   ฉับพลัน  ผู้สาวกลับหัวเราะเสียงดังสามระลอก  หัวใจข่อยกวยโหญ่ไกวโอนเอน เพิ่นปิดหนังสือไปแนบอกข้างซ้ายแล้วจับใส่ในย่ามลายแพรตาหม่อง จับกล้องพร้อมกับลุกขึ้นสะพายคล้องคอ เดินอ้อมโต๊ะ ก้มหน้าใสมน ผีสบ-ริมฝีปากสีชมพูระเรื่ออ่อนฮูปเหมือนกลีบดอกจานแนบติดหูข้างซ้ายข่อย กลิ่นคือดอกสะเลเตน้อยโชยเข้าดัง คำน้อยๆ ที่ซื่มกระซิบใส่หูว่า 
ไปย่างเล่นแคมฝั่งมูนกันป๊ะเจ้าของเสียงซืม ก้าวออกจากฮ้าน ไปยืนเล็งกล้องใส่
เฮือขายหมากไม้ในแม่น้ำมูน ฮูปห่าง ไหล่เอิ๊กเอวในเสื้อผ้าฝ้ายขาวคอวี สะโพกอวบกลมกลึงในกระโปรงยีนส์สั้นสีฟ้าอ่อนซีดจางมีจุดเด่นตรงตีนกระโปรงที่เย็บแถบตีนซิ่นไหม ขณะก้มถ่ายดอกไม้นั่น เผยให้เห็นขาโอ้งขาวเนียนสมส่วนเรียวลงไปฮอดขาแข้งที่เกร็งมัดกล้ามแข็งแรงปล่อยให้เท้าหายเข้าไปในรองเท้าผ้าใบ หุ้มส้น สีบานเย็นแบบจีนคือใผน้อ
      ชั่วอึดใจข่อยดีดโตขึ้น  สะพายย่ามแดงคู่ใจ  ตรงไปจ่ายเงินที่เคาว์เตอร์ แล้วเหมือนลอยลงจากฮ้านที่มีบันไดแค่สามขั้น ไปยืนเทียมข้างเธอ ยกยื่นมือซ้ายไปกำมือขวาอุ่น ๆ ของเธอ ออกแฮงแกว่งแขนเบาๆ เป็นจังหวะ หนึ่ง สอง  หนึ่ง สอง  หนึ่ง...

-----
ชวนอ่านฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก บรรณาธิการโดย วิทยากร โสวัตร ตามลิ้งค์ไปได้เลยครับ
https://theisaanrecord.co/2019/11/30/isaan-record-short-story-1/



บทเพลง คึดได้ไปเป็น l บ่าวทิ ยางชุมน้อย

ว่าด้วยที่มาของบทเพลง "คึดได้ไปเป็น" •เกิดมาน้อยเท่าใหญ่ ฟังเพลงบอกรักหรือแสดงบุญคุณแม่พ่อ ก็มีแต่เพลงแยก •มีเพลงแม่ อย่าง ค่าน้ำน...