วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ผู้บันทึกรัก


เช้าผ่องของวันพฤหัส
เฮือนเฮาสีดอกสะเลเต
นกนักเพลงบนกิ่งมะยม
ขับลำทำนองล่องโขง

เธอชูช่อสะพรั่ง
ข้างโอ่งมังกร
เผยอดีตสรรวันพระ

สัมผัสของกลีบมน
ดั่งบทกวีในกัณฑ์เทศน์
บุญออกพรรษา
'อีกเก้าเดือนอันรกเรื้อ'

แม้ยามหลับสงบ
เธอก็แอบบันทึก
วรรณกรรมความรัก
แซมหูผู้เฒ่า
บนหิ้งพระ

รอมือดี
เก็บกำ
นำดอกแห้งไป
โปรยธรรม

|คำแต้ม by ทางหอม|
อา.3.พ.ย.2556

-----

|เล่าตามคำแต้ม|
นักปลูกมือทอง

เป็นเรื่องหนักใจที่สุด พืชผักไม้ผลไม้ดอกที่เขาปลูก ต่างแข่งกันงอกงามให้ใบให้ดอกให้ผล จนเขาไม่มีเวลาอยู่สงบได้  ทุกบ้านในเมืองเล็กๆ ของเรา ต่างแย่งกันจองคิวเขา จนตารางงานยาวไปอีกยี่สิบปี

การจับพลัดจับผลูมาประกอบอาชีพ ที่คนไม่เคยรู้จักมาก่อน หรือไม่เคยคิดกันเลยว่า จะมีขึ้นในขุมชนเมืองของเราได้ นี่เป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้

จำได้ไหม ชาวเมืองของเราทั้งหลาย วันที่เจ้าของไร่หอมแดงเจ้าหนึ่ง ออกมาให้สัมภาษณ์ในวารสาร "มนต์หอมกระเทียม" ว่าทำไม เขาจึงสามารถทำรายได้เป็นตัวเลข 7 หลัก จากการปลูกหอมแดง 4 ไร่ เพียงฤดูกาลเดียว

"ทำได้จั่งใด๋ ปลูกหอมแดงโพนเดียว 4 ไฮ่ ได้เงินล้าน"
"อืมมม... ข่อยกะบ่อยากเชื่อคือกัน  แต่ฮู้บ่ ข่อยมีมือดีมาส่อยปลูกให้เด"
"อธิบายหน่อย ได้บ่น้อ"
"ได่ยุๆ เขาคนนั่นล่ะ มาปลูกผักบั่วให้"
"ใผล่ะนอ บอกแนๆ"
แล้วคำอธิบายเกี่ยวแก่การจ้างเขา ก็ชัดแจ้งกระจ่างขึ้น ราวแสงนวลผ่องของดวงเดือนคืนเพ็งสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ด นั่นล่ะๆ

ภายหลังที่ทุกหลังคาเรือนได้อ่านบทสัมภาษณ์นั้นแล้ว  เขาก็กลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองของเรา 

เขารับจ้างปลูกแฮกผัก ผลไม้ ต้นไม้ แม้กระทั่ง หว่านเมล็ดหญ้า... พอเขาลงมือแค่ต้นเดียว ไร่นั้น สวนนั้นก็กลายเป็นสวรรค์ กลายเป็นความหวังความฝันที่เป็นจริง  อย่างที่ใครๆ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้

|คีต์ คิมหันต์
จ. 26.10.2563












วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ผู้รำงับ


ขาดพร่องสิ่งใด
ใครเล่ารำพันเศร้า
ราวกับโลกใกล้ล่มสลาย
ระงมเสียงร่ำไห้โหยอ่อน

เธอยื่นหน้ากวักเรียก
มาสิมิ่งมิตร
อิ่มเอมเต็มตื่นสถาน ยังรอ

สักวรรคกวีฉ่ำ
ดับกระหายอันทุรน
สักบาทกวีชื่น
คลายร้อนระอุอันทุราย

เธอเกิดมาพร้อมสรรพ
ทุกนาทีมีเผื่อแผ่
ดอกยินดีชดช้อย
กลีบรู้ พอเบิกบาน

แม้จังหวะลมสงัด
ยังอ่อนโยนโอนอารี
ประหนึ่งเล่นล้อกับโลกแล้ง

|คำแต้ม by ທາງຫອມ|
พฤ. 28.11.2556

🍃🍃🍃🍃🍃


|เล่าตามคำแต้ม|
ปางนั้น

ผมคุยกับเธอเสมอ แม้ไร้ถ้อยคำเอื้อยเอ่ย

เธอเดินทางมาจากฟากโลกหล้าไกลโพ้น ยื่นนิ่งที่หน้ากระท่อม กี่วันคืนแล้ว ที่ไม่ได้พบกันขณะเปิดประตูกระท่อมมาเจอ พลันใจผมกระหวัดถึง ฉากเล่าปี่ไปคุกเข่าหน้ากระท่อมเด็กหนุ่มนาม ขงเบ้ง  ผมเป็นเล่าปี่-นอกระท่อม เธอคือขงเบ้ง-เจ้าของกระท่อม

เธอสวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มตัวเก่า ผมจำได้ดี เสื้อยืดก็ตัวเก่า คอกลมสีเดียวกัน มีอักษรธรรม 'นา' ตัวใหญ่สีเทาสว่างตรงกลางเสื้อด้านหน้า จากใต้คอเสื้อลงมาเกือบถึงชาย เธอกำลังปลดเป้สีแดงดอกกะโดนที่สะพายมา ชักศอกซ้ายไปข้างหลัง ยกมือชักท่อนแขนแข็งแรงสอดลอดสายสะพาย ปล่อยให้สายสะพายทางซ้ายเป็นอิสระ ก่อนยืดตัวขึ้น ยกมือซ้ายกำสายสะพายอีกด้านเหนือมือขวาที่กำอยู่ก่อนแล้ว เผยเห็นรอยต่อระหว่างหัวกางเกงยีนส์ไร้เข็มขัดกับชายเสื้อยืด นั่น! เอวบางขาวนวลกระจ่าง ผมก้มลงมองพื้นดินแห้งมีใบส้มแบงแห้งเรี่ยราย "ขอเข้าไปได้ไหม" เสียงใสคมหนักแน่นเหมือนนางเอกหนังคาวบอยคนหนึ่ง "เชิญครับ" ที่จริงผมคิดได้ภายหลังว่าควรตอบเธอไปว่า 'ได้สิครับ ได้เลยๆ' แต่ปากเจ้ากรรมก็ตอบไปแบบนั้นก่อนแล้ว ช่างกระไร...

หลังชงชาดอกพะยอมใส่หม้อดิน มารินใส่ถ้วยกาไก่ใบหย่อมให้เธอ ผมก็นั่งตรงข้ามเธอตรงชุดม้านั่งไม้หมากกลางกระท่อม สายลมหนาวกรรโชก ต้นส้มแบงด้านนอกกำลังทิ้งใบสบัดพลิ้วลงเพิ่มจำนวนเกลื่อนลานหน้ากระท่อม อย่างไม่ต้องสงสัย เธอยกชาขึ้นเป่า "ไม่หนาวรึ ใส่เสื้อยืดตัวเดียว" เธอจิบชาช้าๆ ค่อยๆ เผยอยิ้มบางๆ กลีบริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูจางๆ มีน้ำชาพะยอมแต้มทาค่อยระเรื่อขึ้น "พึ่งถอดเสื้อกันหนาวออก เหงื่อชุ่ม"

ผมถาม เธอเล่า 

เรื่องราวเบื้องหลังเธอค่อยๆ เผยตัวขึ้น พร้อมๆ กับแสงเช้าที่ค่อยสาดส่องอาบทาโลกรอบกระท่อมสีใบส้มแบงให้ค่อยๆ ละลานตา แน่ล่ะ ผมเคยหวังลมๆ แล้งๆ ว่า เธอจะแวะมาสักครั้ง หรือเธอจะใส่ใจมาเยี่ยมยามสักหน ก่อนชีวิตวันหนุ่มใหญ่จะร่วงหาย แน่ล่ะ เราเคยรู้จักกันเมื่อสิบสองปีก่อน ในหน้าที่ของคนเมืองบางประเภท เสียงเล่าเรื่องราวที่เธอพานพบ ไพเราะกว่าเสียงเพลงใบไม้ใดๆ ต้องลมในป่าชีวิตที่เหลืออยู่ของผม แม้มันจะดูอมหม่นเศร้าก็ตาม แต่ละเรื่องผ่านไป เหมือนใบส้มแบงหล่นพื้นแท้ทีเดียว บางเรื่องยังหมาด สีเขียวยังเหลือแต้มนิดแต้มน้อยแกมน้ำตาล บางใบมีรอยกัดแทะของแมลงเป็นรู เป็นเว้าๆ แหว่งๆ รอบขอบใบ บางขนาดจิ๋วสมบูรณ์แห้งสนิทแนบทรายดิน...


ตรงหน้า...วันนี้
เธอกับดอกหญ้ากลางลานใบส้มแบงหม่นดูคล้ายกัน 
ผมคุยกับเธอเสมอ อย่างน้อยก็ในความคิดถึง และความฝันเป็นครั้งคราว.

|คีต์ คิมหันต์
ศ. 23.10.2563


















วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ผู้ถ่วงดุล


โอ ผลแห่งความเชื่อมั่น
จักรวาลแคบลงถนัด 
ทุกอณูสัมผัส
เยือกเย็น ยิ้มแย้ม

เธอติดกับขั้วแม่
ผูกธาตุสัมพันธ์ 
เหมือนยังเขลาขลาด
คล้ายกัดกร่อนกตัญญู

น้ำหนักรักแท้ถ่วงดุล
กี่พลังวาตะก็คารวะ
ใครกันเล่าเพ่งพบ
สงบตลอดสายทางชีวา

พลอยสะอ้านวัยละอ่อน
มรกตสกัดวัยหนุ่มสาว
ค่อยขับทองวัยสะท้อน

เธอหล่อเลี้ยงผู้ผ่านทาง
น้ำใจผู้ฝึกตื่น ชื่นกมล

|คำแต้ม by ທາງຫອມ|
พ. ๒๗ พฤศจิกา ๒๕๕๖

------------------------------

|เล่าตามคำแต้ม|
หมากไม้บางชนิด

"ไม่เคยรู้จักหรอก" เขาพูดเหมือนจะสารภาพ "กระทกรก เสาวรส อะไรนี่" พลางจ้องตาคู่สนทนา "ใช่! เมื่อสักสิบปีมานี่เอง ที่เขาฮิตกินน้ำปั่นผลไม้ และต่อด้วยกาฟงกาเฟกาแฟ"

ผมกับเขาช่างเหมือนกันยังกะแกะ ไม่ปักใจตามหรือสันเด๋อสันเดิดกับแฟชั่น ผิดกันก็แต่เรื่องที่แฟชั่นรอบข้างมาจุดไฟให้คิดทำ เขาอาจไม่ยอมเรียนรู้มัน รู้แล้วผ่านเลยไป แต่ผม รู้แล้วอยากรู้ถึงแก่น มันคืออะไรแน่นะ

ร้านอาหารในยางชุมน้อย เมือสักยี่สิบห้าให้หลัง มีไม่กี่ร้านที่พอจะรับรองแขกคน ที่มีตำแหน่งขีดขั้นได้ หนึ่งในนั้นคือ ร้านป.แป๋ว เป็นร้านของผู้หญิงแกร่งเมียครูเกษตร

ครูสอนปลูกพืช ตอนกิ่ง ทำนา ทำอาหาร ผู้ปลูกฝังแนวคิดรักษ์ป่าบูชาธรรมชาติแก่ผม เมื่อครั้งเรียนป.ปลาย ครูศิริพงษ์ ทองแสง ชื่อที่เด่นขึ้นมาในทรงจำ

ผมไม่เคยไปนาไปสวนเกษตรของครู แต่อนุมานเอาว่า ต้องมีพืชผักและไม้ดอกไม้ผลงอกงามดี ด้วยทักษะความรู้และประสบการณ์ด้านเกษตรของครู บวกกับความขยันหมั่นสร้างสา 

ผลผลิตจากนาสวนของครู ป้าป.แป๋ว นำมาประกอบเป็นอาหารขาย เจ้าน้ำเสาวรสนี่ก็ด้วย อย่างที่กล่าว แค่สิบปีมานี้ล่ะ ที่ผมเริ่มรู้จักหมากไม้ชนิดนี้ ก็จากร้านป้า ป.แป๋วนี่เอง

ความทรงจำเรื่องหมากไม้ของผม มันเป็นความทรงจำของคนท้องนาป่าเห็ดป่าใหม่ป่าละเมาะ ดงหัวนา รู้จักพวกหมากยางเครือ ผีผ่วน ลอมคอม ส้มลม หว้าแล้ง หว้าดำ หว้าสีชมพู ส้มมอ หมากหาด ขามป้อม... พวกนั้น  

นา ป่า สวนวัยเด็กของผม ไม่มีเสาวรส หรือ กระทกรก ผ่านหู ตา และหัวใจ

อย่างไรล่ะ อยู่ๆ วันดีคืนดี ก็ได้หมากสุกเสาวรส มาแกะหว่านเมล็ดไว้โนนเถียง แน่นอน เสาวรสมันก็พึ่งรู้จักผม ก็เมื่อสี่ห้าปีมานี้ เช่นกัน

"สบายดีเพื่อนหมากไม้" เขาในตัวผมทักทาย วันไปชมสวนเถียงนา ต้นฤดูหนาว คราวข้าวกำลังใกล้สุกเหลืองกล้วย รอฤดูเก็บเกี่ยวหวนมาอีกคราหนึ่ง

|คีต์ คิมหันต์
พฤ. ๒๒ ตุลา ๒๕๖๓


  

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ผู้ตื่นอยู่

ใครบ้างค้นลงไป
เปิดใบบังค่อยแจ้ง
ไขที่ข้องค่อยโล่ง
เฉลยคำตอบดวงตะวัน

เธอบอบบาง
บำรุงเบิกบานมิเผลอตน

นั่น! แมลงหิวจัด
ก้มกัดญาติมิตร
เธอตื่นอยู่ เพียรพร้อม
วันคลาดแคล้ว คืนเตรียมสู้

ใกล้มัจจุราช
ทางรอดแนบข้าง
ผลน้อยๆ เติบตนขึ้นแทน

เสียงสวดสาธุการ
ส่องใสสอดสานกังวาน
โลกมอบอิสริยยศ
ขณะมือเยาว์ปลิดใบปลื้ม

| คำแต้ม  by ທາງຫອມ|
พ. ๒๗ พฤศจิกา ๒๕๕๖
---------------------------------

|เล่าตามคำแต้ม|
ตอน แตงกว่าอ่อน

ใครเคยลิ้มรสหวานผลแตงกว่าอ่อน  จากเถาว์ตรงหน้า มือเด็ดขึ้นมา เช็ดขากางเกงมอมสีขี้ตม ย่อมรู้รสชาติดี

แน่ล่ะ กัดเคี้ยวกลืนกินก่อนข้าวเช้าข้าวงาย เหมือนเป็นผลแห่งกรรมดีแต่ปางใด ธรรมชาติจึงประทานให้ได้ลิ้ม

ไม่นานมานี้ ผมเคยไปเลือกแตงกว่าอ่อนที่ตลาด ดูแผงแม่ค้าพ่อค้าหลายเจ้า 
ลูกงามๆ ทั้งนั้น ในใจนึก 'แผงใดเล่า สดสวยแบบไม่มีสารพิษจากยาฆ่าแมลง 
จากปุ๋ยทางใบ จากลมฝุ่นควันตกค้าง' ใจหนึ่งว่า 'นำไปแช่น้ำ ล้างออกได้น่า' 
อืมม...

พลันนึกถึงโพนหอมแดงของพ่อ  ที่แม่นำเมล็ดแตงกว่าไปแหนบไว้ต้านตีนโพน
รดน้ำ ให้ปุ๋ยหอมในแปลง  แตงกว่าที่ต้านตีนโพนก็งอกงามตามกันไป ก่อนสองเดือน ที่ครบกำหนดกู้หอมไปแขวนตากใต้ตะหล่างเฮือน ผลแตงกว่าก็อวดตน ให้คนสวนได้ลิ้มรสแห่งแรงงาน ผลกรรมทำเองนี่ล่ะ หวานใจนัก

ตอนนั้น ผมยังเด็ก ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยทางราก ทางใบยังมีน้อย ไม่แพร่หลาย ไม่แย่งโฆษณาค้าแข่ง ชาวสวนยังไม่มีหนี้ ไม่ต้องเร่งรัดตนทำของออกขาย  ปลูกหอมได้หอมแก่หอมหัวต่ง เก็บไว้กินไว้ฝากเป็นแก่น มัดออกขายเป็นทุนรอนชีวิตสืบมื้อ

วันนี้ ผมขาวหงอกแซมหัว หวนทบทวน ตอนผมออกจากบ้านมากระมัง ค่าเทอม ม.ปลาย วิทยาลัย... ค่าแลกเอาโอกาสศึกษาสมัยใช่ไหม? เป็นหนึ่งเหตุให้ชาวสวน
ในท่งข้าวนาหอมต้องเป็นหนี้ และถีบตนเป็นนักปลูกสินค้า หรือว่ามีเหตุอื่นๆ ใดบ้างเล่า?

ผมอยากกลับไปเก็บแตงกว่าต้านตีนโพน ลูกน้อยๆ เช็ดขากางเกงดำชุดทำงานที่ช่างวัดตัดพอดีตัว แล้วกัดกินอีกครั้ง มันจะหวานเหมือนวันนั้นไหมหนอ...

| คำตามคำแต้ม by ທາງຫອມ |
สวยๆ พ. ๒๑ ตุลา ๒๕๖๓
ในเมืองใหญ่ตรงข้ามปากเซ

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ผู้โปรยทาน

เช้าของวันอังคาร
บ้านสีดอกเฟื่องฟ้า
ใครสักคนบันทึกโลก
บรรจุใจดวงงาม

เธอย้อยระย้า
เหนือเถียงนาอัปลักษณ์
รอลมพรมพลิ้วอยู่เงียบ ๆ

มิแยแสสังคมไม้
มิเบื่อป่ายปีนคาคบ
เท่าที่รากจะหาอาหาร
หล่อเลี้ยงให้เลาะเลื้อย

กระทั่งสาย  แดดกล้า
กระทั่งล้า  โปรยดอก
ระบายสีม่วงชมพู
ให้แผ่นดิน
ให้ฉากชนบทอิ่มสีสัน
ให้หยิบยื่นในคุณค่า
'เพียงเท่านี้'

| คำแต้ม : ทางหอม |
ศ. ๑ พ.ย. ๒๕๕๖


|เล่าตามคำแต้ม|
เถียงนาและเธอ

หน้าบ้านพักครู ที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอยางชุมน้อย บ้านเกิด 

ผมสั่งเถียงนาน้อยจากช่างทำเถียงอาชีพไทบ้านธาตุน้อย มาตั้งหน้าบ้านพัก ข้างโรงจอดรถ 
เป็นเถียงนามุงไพหญ้าคา สะแนน-แคร่ไม้ไผ่ขนาดสองคูณสองเมตรครึ่ง ทอดตัวอยู่ตรงกลางเสาไม้หน้าสาม น่านั่ง-นอน

เรา มีป้านอง พี่มณฑา เมีย และผม ใช้เป็นที่นั่งเล่น นอนเล่น พูดคุย กินข้าว...

ข้างเถียงนั้น ป้าซื้อเฟื่องฟ้ามาตั้งหนึ่งกระถาง ส่วนใหญ่ป้าล่ะ เป็นคนรดน้ำ ดูแล

เธอเติบโตตามกาลเวลา จนวันหนึ่งก็เลื้อยขึ้นบนหลังคาเถียง แตกต่อก้านแผ่ใบให้ดอก 
พอบาน กลายเป็นพวงระย้าสีชมพูดูช่างน่าชมยิ่งนัก

วันหยุด ผมมักมานั่งเล่น และเฝ้ามองพวงระย้าที่ห้อยลงมาตรงมุมชายคาเถียง

เหมือนเธอทักทายผม  เหมือนผมได้พบเพื่อนเก่า  เราสบตากันและก้าวออกเดินทางไกล
ไปสู่แผ่นดินที่แสนคุ้นเคย  ที่ไหนสักแห่งซึ่งแสนรื่นรมย์

|คีต์ คิมหันต์|
อัง  20 ตุลา  2563

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ผู้เขียนคำนิยม

สายลมของวันพฤหัสฯ
โลกสีดอกเข็ม
ใครกี่คนนิ่งคำนับ
คารวะเท้าทั้งคู่

เธอแน่วเด่น
เหนือแนวหญ้า
อวดรูปลักษณ์ง่ายงาม

ภาษาของแสง
ถ่ายทอดสาระของมิตร
ชั่วขณะนิรันดร์
"ไร้สรรพคุณ"

ตลอดวันแสนยาว
เธอเขียนคำนิยม
ตัวบรรจงเต็มบรรทัด
สำหรับฟ้าดิน
และสายลมแสงแดด

รอค่ำคืนของดาวฟ้า

| คำแต้ม โดย ทางหอม |
-31 ต.ค. 2556-


|เล่าตามคำแต้ม|
ตอน ชายนักถาม

บรรดาชายในเมืองของเรา น้อยคนนักจะยอมให้ชาวเมืองลืมชื่อและคุณสมบัติของตน หรือพูดอีกอย่าง ความนิยมของชาวเมือง คือส่วนสำคัญของจิตวิญญาณทำให้ชายในเมืองนี้มีชีวิตชีวา พวกเขาจึงจะมีกะจิตกะใจออกไปทำการงาน หาเลี้ยงครอบครัว และพัฒนาบ้านเมืองในวันต่อไปได้ จึงเป็นที่มาของกิจกรรมยามเย็นก่อนกลับบ้าน ที่ร้านดื่มนิยม ร้านเครื่องดื่มตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ของลานจตุรัสใจกลางเมืองหอม ร้านที่ทุกคนมารับการยืนยันชื่อและสกุล พร้อมการันตีคุณสมบัติ จากคณะนักโฆษณาแห่งเมืองประจำร้าน ที่ทำการแสดงวาทกรรมอำพรางต่างหมอลำหมู่และวงดนตรี

บ่ายสี่โมงเย็นวันนี้ แปลกไป เมื่อประหยัด หนุ่มใหญ่โสดและแพงยิ้ม ก็มาที่ร้านดื่มนิยมกับเขาด้วย "รับไวน์ผลไม้แห่งเมือง หรือ เหล้า เบียร์ หรือกาแฟ หรือชาใบมอน ดีนออ้าย" พนักงานสาวน้อยฮูปห่างคีงคือนางอัปสรปราสาทวัดพูจำปาสักยิ้มให้แขกหน้าใหม่ เป็นครั้งแรกที่เธอเจอหนุ่มใหญ่มาดนิ่งแบบนี้ "ไวน์กะดีเดอ" เขาหันไปสบตาเธอ

ประหยัด ถูกชาวเมืองหลงลืมชื่อและคุณสมบัติตั้งแต่เรียนจบ ป.6 เขาปลีกวิเวก เข้าไปในป่าสงวนประจำเมือง  ง่วนอยู่กับการเกี่ยว ตาก เก็บ ไพหญ้าคา และรอคนเข้าไปรับซื้อไพหญ้ามาขายให้คนในเมือง แม้ไพหญ้าจะมีคนไพถึง 5 เจ้า แต่ก็มีเพียง 4 เจ้า ที่ทุกคนกล่าวขานชื่อด้วยความนิยมชมชอบอย่างชื่นชม ว่าผลงานพวกเขาเข้าขั้นเทพ ช่างเปี่ยมด้วยคุณภาพยิ่งนัก ส่วนประหยัด หามีใครรู้จักไม่ อาจเพราะพ่อค้าคนกลางนำไพหญ้าคุณภาพระดับเพชรของเขาไปรวมกับไพหญ้าของเจ้าใดเจ้าหนึ่ง หรือคละปนไปกับทุกเจ้า ก็มิอาจรู้ได้ แล้วเขาก็ปิดป้ายขายเป็นไพหญ้ายี่ห้อของเจ้านั้นๆ

บรรยากาศในร้านดื่มนิยมเย็นนี้ ดูเงียบเหงาที่สุดในรอบ 7 ปี ไม่ใช่เพราะมีประหยัดมานั่งอยู่ดอก แต่เป็นเพราะประธานเมือง มีตารางงานจะมาที่จตุรัสแจ้งให้ชาวเมืองได้รับฟังแนวปฏิบัติร่วมกัน เกี่ยวกับการยกเลิกและห้ามมุงหลังคาด้วยไพหญ้าในเมืองเล็กๆ นี้ อีกต่อไป

ชายที่ไม่มีชื่อ ไม่เป็นที่นิยมในคุณลักษณะพิเศษ นั่งเงียบๆ ตรงม้านั่งปีกไม้ยางนา ใต้ร่มตากบมุมร้าน จิบไวน์บักผีผ่วนในขวดแก้วขนาดจิ๋ว ดวงตานิ่งแน่ว คำถามแสนล้านที่เก็บงำบ่มร่ำจนได้ที่ปานไวน์พันปี เป็นประกายฉายโชนไปยังที่ประชุมของกลุ่มคนมากชื่อเสียงนิยมตรงนั้น ปานจะเผาเสียให้มอดไหม้เป็นผงถ่าน ราวตั๊กแตนอีแม่แจ้ปีกลายเขียวแกมเทาน้ำตาลหม่นตกไปในดงไฟฟางกองสูงเทียมต้นมะพร้าวตรงเถียงนาที่ไหนสักแห่ง.

|คีต์ คิมหันต์|
ส. 24.10.2563

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ฮั่ว

ปานว่า
สิกั้นกางสองข้าง
ให้ห่างให้หาย
ให้เป็นอื่น
ให้ฮักเป็นฮ่าย
ให้ในเป็นนอก
ให้สุดขาดบั้นบ่อนแพง
ให้เหลือใจเหลือหมก

ปางนั่น
กลัวเกรงย่าน
อันตรายภายนอก
การทำร้ายที่อาจเผลอป้องกันด้วยตา
ที่อาจไร้เวลาดูแล

เหมือนฝากทุ่งข้าวไว้กับลมฝน
อาจวางใจ
อาจไร้พิษ

วันหนึ่งไหน
ฮั่วหาย
รั้วถูกทำลาย
กลัวสิ่งใดเพิ่ม
กี่เท่าทวีพาล

| คำแต้ม โดย ทางหอม |
ส.17.10.2563



ซวงใจ

  ซวงใจแท้นอ ฝนมาห่าใหญ่ หญ้าไม้ดีใจ เขียวก่องขึ้นทันตา แปลกแต่จริง  เรารดน้ำหญ้า รดน้ำต้นไม้ทุกวัน น้ำจากดิน น้ำจากท่อต่อจากเครื่องสูบ รดแล...