วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2563

🍂บ่เหลือค้าง🍃

ตายแล้วตายเลย

เอาส่ำฉีดยาฆ่าหญ้าหวาย
แล้วไถ ขุดฮาก เก็บกองจูดเผา
บ่ให้เหลือฝุ่น

เอาปานถอนทื้นหญ้าฮังกา
แล้วหอบกองใส่คันแท
ไว้เหยียบย่ำซ้ำตื่ม

เอาจั่งปราบกกสะนูในฮ่องนาตากล้า
แล้วตั้งแต่ยังบ่มีดอกมีหน่วย
คือหมายใจให้ดับแนว

พุ้นแหล่วล่ะควมคึด
ตายสา ตายเสี่ยง ตายเกลี้ยงสา
ตายแล้วกะแล้วดอก

คุณค่าส่ำหญ่าญุง
ไสสิท่อข้าวกอดีมีค่าผ่องทองคำเพิ่น
คุณค่าส่ำเกิดแกมเพิ่นในท่งในนา
ไสสิอ้อนวอนอยู่ต่อได้

ตายแล้วกะแล้วดอกตี๊
หรือใด๋ๆ


🔖ทางหอม 🏷
อัง.30.7.2562
(หว่างอ่านหญ้าในนาท่งข้าวหว่าน---)



🍂บ่นานดอก🍃

ขายข้าวเหนียวข้าวจ้าวซื้อปุ๋ย-ยา-ฮอร์โมนเพิ่น
เสียให้ร้าน-ให้ระบบ-ให้รัฐ---
อีกท่อใด๋

ขายผักบั่วหัวแดงหัวขาวซื้อแนวใช้ไปโรงเรียนให้ลูก
เสียให้ร้าน-ให้ระบบ-ให้รัฐ---
หลายปานใด๋

เสียเหงื่อแลกพืชผล
เสียควมคึดแลกบ่เป็นหนี้
เสียเวลาขอเป็นองคาพยพนำเพิ่น
เสียควมฝันแสนงามวามเท่ซุกญู่ชูค้ำสิ่งใดแนน้อ
เสีย---ไปจนมื้อตายพุ้นรึบ่

หกสิบปีลูกยังเป็นสาวบ่าว
เจ็ดสิบปีหลานยังบ่มาเกิด
แปดสิบปีหลานเกิดเป็นขวัญคีงอุ่น
เก้าสิบปีลูกลาออกจากงาน--- หลานเข้าเรียนฮู้อยู่บ้าน---
ร้อยปีหลานบ่ไปหางานเฮ็ดหม่องอื่น
บอกปู่ว่า

"บ่ดนบ่นานดอกปู่
นาเฮาสวนเฮาผืนสุดท้าย
สิกลายเป็นผืนแผ่นทองคำ"

🔖ทางหอม 🏷
อัง.30.7.2562
(หว่างอ่านข่าวว่า "คนจนบ่ต้องจ่ายภาษี")





เรื่องสั้นละอองฝัน 1

ชวนไปอ่านเรื่องสั้น ในเพจ "ละอองฝัน"

ผู้นำเสนอได้เปิดประด็นชวนสนใจว่า

จากเรื่องสั้นในหนังสือรวมงานเขียนของนักเขียนหนุ่มสาววัยมัธยม ชื่อ "ฝนฝัน" ของ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยศรีสะเกษวิทยาลัย และ "ละอองอุบล" ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยนารีนุกูล จ.อุบลราชธานี สู่ พื้นที่ออนไลน์ ในชื่อเพจ "ละอองฝัน"

โดยประเดิมด้วยเรื่องสั้นของสาวมัธยมแระจำจังหวัดศรีสะเกษ
ที่ท้าทายให้อ่านและตีความความสัมพันธ์ของหนุ่มสาว ในฉากบรรยากาศโรแมนติกของภาคเหนือ อันชวนหลงไหลที่มีประวัติศาสตร์ครอบครัวเป็นสีสัน

เรื่องเต็มๆ เป็นเช่นไร ชวนไปสัมผัสฝีมือของเธอคนนี้ ได้ในลิ้งค์ข้างล่างนะครับ

https://wp.me/pbwXU3-4o



วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2563

kamtaem คำแต้ม #1

ระหว่างคำภาษากับชีวิตคนๆหนึ่ง สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน

คำพูดมิใช่หรือที่เปิดตา ชักจูงให้คนเดินทาง ต่อสู้ ผจญปัญหา กระทั่งมีชัยชนะ
คำพูดมิใช่หรือที่ปิดใจ กดทับให้จ่อมจม ศิโรราบ ยอมรับสภาพ กระทั่งพ่ายแพ้...

คำพูดเป็นนายเมื่อเราปล่อยให้มันหลุดจากปาก หรือปรากฏเป็นตัวอักษร
คำพูดเป็นนาย ต้องเข้าโรงเรียน ต้องเรียนให้เก่ง ให้จบ ให้มีวุฒิ จะได้มีงานดีๆ ทำ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
คำพูดเป็นผู้ดูแล ต้องค้าขาย ลดต้นทุน เพิ่มกำไร ขยายกิจการ เพิ่มปริมาณการผลิต เป็นบริษัทอภิมหาชน
...

ชีวิตตกอยู่แทบเท้าคำพูด ใช่ไหม
ถ้าชีวิตไร้ถ้อยคำภาษาล่ะ
ชีวิตจะเป็นอย่างไร
จะดำเนินไปได้ไหม

กวี เจ้านายคำพูด ยากจนนัก
พ่อค้าที่สำเร็จ ใช้คำพูดเป็น ร่ำรวยนัก

หัวใจของคำภาษา คือการใช้สื่อสาร หรือ?
หัวใจของชีวิตคนๆ หนึ่ง คือการดำเนินสู่การงานและความสงบงาม หรือ?

โอ ชีวิต ยิ่งใหญ่กว่าคำภาษา
เมื่อชีวิตรู้ใช้คำภาษาอย่างเจียมตัว
อย่างนั้นหรือไม่



หลังคาน้ำ

ท่วมฮอดฝ่าตีน กะไคตี๊
ท่วมฮอดตุ่มค้อง กะเคยมี
ท่วมฮอดบีแข้ง แล้วบ่พี่
ท่วมฮอดขาโอ้ง แล้วต้องหนี
ท่วมฮอดง่ามขา แล้วห่านี่
มาไว้ตายแท้ บ่ทันได้ขงได้ข่าว
ขนของบ่ทัน แล้วอีแม่ญีอีพ่อญี
ท่วมฮอดชั้นสอง อีหลออีหลี
ท่วมฮอดหน้าต่าง มาซ่างเป็น
ท่วมฮอดหลังคา แนมหาบ่เห็น

หลังคาเฮือนชาน โอ๋นออยู่ไส
เห็นแต่หลังคาน้ำ
ฟังแต่เสียงคนฮ้องฮ่ำไห้

ฟากท่งนั่นเบิ่ง
เทียงนาหลังคาไพหญ้าผุ
จมมิดบ่เห็นแล้วสู
แล้วขี้เกียมขี้โก๋มันหลบมันลี้
ไปอยู่กกหว้า กกบก กกส้มแบง กกยาง
ทันอยู่ดอกตี๊

หลังคาเถียงนา โอ๋นออยู่ไส
เห็นแต่หลังคาน้ำ
ฟังแต่เสียงมดเสียงแมงฮ้องฮ่ำไห้

มื้อหนึ่งบ่หมอง
มื้อสองสามสี่พอทน
มื้อห้าหกเจ็ดใจหมองหม่น
มื้อแปดเก้าสิบเหลืออดเหลือทน
มื้อต่อจากนี่
ข้าวในนาถูกน้ำปล้น
ข้าวของทำกินถูกทำลายปี้ป่น

ชีวิตมื้อหน้าหันหาใผเดนอ
สิเห็นใจให้โอกาสคนทุกข์ยาก
คือข้าวในนาเปื่อยตายบ่เหลือซาก

แนมหลังคาน้ำ
ใจสิขาดสิหล่น

น้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำ
น้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำคนน้ำน้ำน้ำน้ำ
น้ำน้ำน้ำน้ำคนน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำ
น้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำคนน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำ
น้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำน้ำ

ทางหอม
20.9.2562



วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563

ว่าแล้วตั๋ว

คอนกะต่าไป
หิ้วครุถังไป
เคียนแพรไป
บ่ต้องย่านบ่มีแนวใส่...

กระเป๋าผ้าฝ้ายสีแดงมีซิปพร้อม เรื่องสั้นโดย คีต์ คิมหันต์


🌜อ่านเรื่องสั้นกัน คั่นบทกวี สักหน่อยครับ 🌝

----------------------------------------------------------
กระเป๋าผ้าฝ้ายสีแดงมีซิปพร้อม | คีต์ คิมหันต์
----------------------------------------------------------

กระเป๋าผ้าฝ้ายสีแดงเพิ่งถูกเย็บใส่ซิปมาเรียบร้อย เพิ่นเอามาคืนให้  หลังจากนำกลับไปใส่ซิปและพาออกเดินทางไกลครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปีที่แล้ว
อันที่จริง จะเรียกว่าเอามาคืนบ่ได้ เพราะเดิมทีข่อยเองเป็นผู้ได้รับมาจากมือเพิ่น 
“กระเป๋าแดงนี่ เอามาฝากค่ะ” หญิงสาวยื่นให้ ยิ้มหน้าบาน
 “เนื่องในโอกาสหยังนอครับ” ข่อยตกใจปนปลื้มอก
 “วันเกิดค่ะ เห็นชอบสะพายย่าม” เธอพูดเสียงใสแจ๋วราวกระจกวิเศษ 

 

ควรจะเอิ้นว่าถุงผ้าจั่งสิถืก ในนั่นมีแท็ปเล็ตโตหนึ่ง หนังสือแปลเล่มหนึ่ง กวีนิพนธ์
ของสำนักพิมพ์บ้าน ๆ 3 เล่ม ที่เพิ่งรับมาจากโรงพิมพ์ในแบบปริ้นต์ออนดีมานด์ (ปกละ 50 เล่ม) เจ้าโตกำลังเบิ่งทวนและทานความถูกต้อง
บางขณะข่อยกะยิ้มให้กับตัวบทที่ยกชูใจ  การออกแบบเล่มที่ม่วนคีง แต่แล้ว
ลมใต้ฮ่มกากะเลาที่เย็นกาย กะบ่ช่วยให้ใจซำบายได้ เพราะเห็นคำพิมพ์ผิดในกวีนิพนธ์ชุดที่เขากำลังถืออ่าน ‘เอื้อเฟื้อ’ เป็น  ‘เอื้อเฟื่อ’ ‘กวีนิพนธ์’ เป็น ‘กวีนิพนธ์’  แถมยังพบการออกแบบจัดหน้าบทกวีชิ้นหนึ่งชิ้นเดียวในหมวด ภ ที่บ่ได้ขยายชื่อเรื่องเป็นขนาดใหญ่ตามแบบที่วางไว้ แถมชื่อเรื่องก็พิมพ์ตก  จาก ภาพหลอน  เป็น หลอน 
อนุกรมารมณ์ กวีนิพนธ์ของเพื่อนกวีผู้นี่ช่างงดงามนัก มีสำนวนแปลกใหม่เล็ก ๆ 
แต่หลุดมาจากภาพกรอบกรงของกวียุคก่อนและยุคเดียวกัน เป็นเล่มรวมบทกวีที่กลมกลืนกับอารมณ์ยุคสมัย ที่การไหลบ่าของข้อมูลในโลกจริงสู่โลกเสมือนและการย้อนกลับจากโลกเสมือนสู่โลกจริงอย่างบ่มีขอบขั้นตลิ่งกั้นแต่อย่างใด
ข่อยตั้งใจว่า จะส่งเล่มนี้เข้าประกวดประชันขันแข่งกับหมู่กวีเพิ่น ทุกเวที   
แต่บางที  กะจักสิส่งไปเฮ็ดหยัง  หนังสือคือรางวัลของผู้แต่งในตัวอยู่แล้ว  ใช่ไหม? 
บ่แม่นตี้?

      ข่อยพบกวีหนุ่มครั้งแรก คราวไปงานค่ายนักเขียน-อ่าน และพิจารณาวรรณศิลป์ที่โรงเรียนขุขันธ์เมืองเก่าไปทางใต้ของเมืองอุบลจักร้อยซาวกิโล

     “คุณเขียนกวียุนอ” ผมถามขณะนั่งคุยกันตรงสนามหญ้าหน้าอาคาร ขณะที่นักเรียนในค่ายกำลังนั่งฝึกเขียนงานวรรณกรรมกันตามชุดม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้
     “ครับ ฝึกเขียน แต่ไม่รู้จะส่งไปไหน อย่างไร”
     …
      แล้วเราก็คุยกัน และเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนั้นมา
     ในย่ามสีแดง มีกวีนิพนธ์เล่มหนึ่งที่กวีเจ้าของผลงานได้ลงลายเซ็น และข่อยได้เขียน “คำมอบ” จากเอิ๊กใจให้หญิงสาวผุ๊งามค่อง ในวาระธรรมดาๆ ของชีวิต ปีละเทื่อ ก็วันคล้ายวันเกิดของเพิ่นเธอนั่นล่ะ
     กวีนิพนธ์เล่มน้อยนี้นับเป็นผลงานการคัดสรรและจัดรูปเล่มด้วยความตั้งใจสูงยิ่ง อาจ
ใกล้กับความตั้งในการสลักยอดพระธาตุพนมสมัยใหม่ เพราะเป็นการรวมงานบทกวีเล่มแรกในชีวิตของเพื่อนกวีหนุ่ม ต้องดูแลให้เป็นที่พอใจ ซึ่งเมื่อเจ้าตัวเห็นแล้ว ก็ดูเหมือนจะพอใจอย่างมากทีเดียว
      ในฐานะบรรณาธิการ ข่อยจึงพอใจและภูมิใจหลาย
      สายลมพัดใบจานหน้าร้านพลิกพรึบพรับกลับไปมา เหมือนคนโบกมือทัก นกเมืองตัวหนึ่งส่งเสียงร้องจากกิ่งที่ยื่นไปทางน้ำตกจ าลอง ข้อยนั่งจิบกาแฟรอเธอ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ ถอนหายใจหลายครั้งหลายเทื่อ
      นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่รู้สึกประหม่า ขาดความมั่นใจ กลัวว่าจะทำอะไรเปิ่นๆจนอาจทำให้มิตรภาพที่ดีวันดีคืนระหว่างข่อยกับเพิ่นต้องมีอันถอยหลังเสื่อมค่าลงอย่างไม่อาจกู้คืนและยากจะให้อภัยตัวเองได้ตลอดชาตินี่
      ยี่สิบปีที่แล้ว ข่อยเคยนั่งรถเมล์ตามหญิงสาวไปเพื่อส่งเธอเข้าหอพักนอกมหาวิทยาลัย แต่พอเธอลง ขาก็แข็งไม่กล้าลงและเดินตามเธอไปได้ ก่อนที่วันต่อมา เราจะไปทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหารข้างตึกเรียนภาษาศาสตร์ด้วยกันกับเพื่อนสนิทของเธอ  เป็นโอกาสให้เธอบอกปฏิเสธความรู้สึกแบบคนรักและแต่งตั้งให้ข่อยเป็นอ้ายซายที่น่ารักคนหนึ่งของเธอแทน
จากน้องสาวคนน่าฮักผลักออกมาจากประตูสิเน่หาเป็นสองปีได้ ก็มาสู่คนน่าฮัก
คนใหม่ที่ข่อยติดตามเธอไปถึงหอพักใน เราได้คุยกันหลายครั้งที่ชุดม้าหินอ่อนหน้าหอ  ความรู้สึกของข่อยที่มีต่อสาวในยามนั่นคล้ายๆ ย่ากำลังใช้ไม้แต้มลายผืนเส้นไหมมัดหมี่อันละเมียดละไม ก่อนสินำไปกรอใส่หลอดเครือไส้ตันหรือไม่ก็ก้านต้นหมากลิ้นฟ้าลิ้นไม้ แล้วนำไปไส่ในกระสวยอีกจนเมื่อเอาไปสอดต่ำขัดไขว่กับเครือหูกเป็นผืนแล้วนั่น จึงเผยลายเครือลายก้านลายดอกฮักหอมบนผืนผ้าไหมที่สวยงามมิ่ง ยิ่งกว่าต้นแบบธรรมชาติ แต่ดูเหมือนการรุกไล่เพื่อเติมเต็มความสุนทรีย์ดังกล่าว จะไม่ทำให้ความเป็นพี่น้องร่วมสถาบันกลายเป็นอื่นไปได้  สุดท้าย  ความพยายามก็ต้องยุติลงด้วยความนับถือเสมอพี่ชายคนหนึ่งอีกคำรบ
มาครั้งนี้  สาวเจ้าในฐานะนักอ่านนักเดินทาง ที่พิสมัยความเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
จะมาให้คำตอบข่อยแบบไหนกันนะ นกที่ฮ้องอยู่บนกิ่งจานนั้น บอกใบ้คำตอบหรือบ่น้อจิ๊บ ๆ จบ ๆ …”
เรารู้จักกันมา ก็ปาเข้าไปสิบสามปีแล้ว  หากนับรวมตั้งแต่ปีที่ข่อยแอบสนใจ
ฝ่ายเดียว และในอีกสามปีต่อมา ก็ขยับความคุ้นเคยคบหาเธออย่างเป็นทางการ 


วันนั้นมีงานเปิดตัวหนังสือท่องเที่ยวจำปาสักโดยใจฮักจำปาซึ่งเพื่อนสาวของเธอ
เขียน ณ ร้านหนังสือในสวนดอกไม้ ใกล้ฮั้วมหาวิทยาลัยบัวเผื่อนธานีของเฮา เธอเข้าร่วมงานในฐานะมือกล้องประจำตัวนักเขียน ข่อยก็ไปไปในฐานะนักอ่านผู้ใคร่รู้
       หลังจากหนุ่มเจ้าของร้านได้กล่าวนำถึงที่มาที่ไปของหนังสือจบลง ก็ป้อนคำถามให้นักเขียนตอบ เริ่มจากแรงบันดาลใจการบันทึกเส้นทางการท่องเที่ยวของตน ไล่ตั้งแต่ด่านช่องเม็ก เข้าไปเมืองเก่าจำปาสัก  วัดพู ข้ามแม่น้ำของไปพักค้างแรมในเมืองปากเซ  ลัดเลาะกินอาหารฮิมของและสถานที่ต่าง ๆ ในเมือง  ก่อนที่จะไปตามเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติ น้ำตกคอนพะเพ็งที่ต้นไม้แห่งคำทำนายสามกิ่งได้ล้มลงและถูกเคลื่อนย้ายขึ้นบก ตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ริมแม่น้ำของ นั่งเรือข้ามไปดอนซาด ดอนเดด ชมน้ำตกหลี่ผี ดื่มน้ำมะพร้าวหวานหอม พักที่ดอนซาดคืนหนึ่ง แล้ววกกลับขึ้นไปที่ราบสูงทางตะวันออก ชมน้ำตกตาดผาส้วม ตาดเยือง ตาดฟาน พักที่นั่นคืนหนึ่ง ลัดเลาะชมไร่กาแฟ สวนทุเรียนริมทาง  สุดท้ายก็ลงมานอนที่ดอนโขง  ปั่นจักรยานเล่นที่นั่น  เนื้อหาก็เป็นประมาณนี่ล่ะ
         ขณะที่เจ้าของผลงานกำลังพูดนำเสนอ  ผมก็พลิกดูหนังสือไปด้วย  ภาษาร้อยแก้วสละสลวย มีกวีโวหารแทรกเป็นระยะ ไม่ขาดไม่เกิน แต่ที่น่าสนใจพิเศษกลับเป็นภาพประกอบขาวดำ แปลกนัก เท่าที่เห็นผ่านตามา หนังสือท่องเที่ยวร่วมสมัยนั้น ทั้งหลายเขาจะพิมพ์ภาพประกอบสี่สีกัน ภาพขาวดำก็เห็นจะมีในหนังสือแนวประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหาภาพสีมาประกอบได้ มุมมองภาพแต่ละภาพแปลกตายิ่งนัก  อย่างภาพหลี่ผี   แทนที่ช่างภาพจะถ่ายให้เห็นการตกตาดของสายน้ำที่ถูกแก่งหินขวางกันเป็นมุมกว้างเพื่อเน้นความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำของตอนมหานทีสี่พันดอน กลับมีแค่รูปถ่ายส่วนปาก หลี่ที่ปลาแม่ของตัวหนึ่งกำลังกระโจนว่ายกระเสือกกระสนทวนน้ำออกมาด้วยความหวาดกลัว  มันช่างเชื่อมโยงกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ในลักษณะวิพากษ์  ที่อะไรกันเล่ามีอิทธิพลรุนแรงจนทำให้มนุษย์ลุกขึ้นมาฆ่าแกงยิงแทงฟันกันจนศพเกลื่อนลำน้ำลอยไปติดหลี่จนเน่าเหม็น
       หลังนักเขียนเว่าจบ  พิธีกรเจ้าของร้านผู้ถนัดการปลุกใจด้วยพลังน้ำเสียง การเน้นคำ ดัง เบา  ฟังได้รส  จะถามคำถามเหมือนฮู้ใจข่อยว่า  ฮูปถ่าย เป็นหยังจั่งเป็นขาวดำ นักเขียนมองไปทางเพื่อนผู้เป็นมือกล้องประจำตัวในการเฮ็ดงานเล่มนี้แว้บหนึ่ง ให้คำตอบว่า เท่าที่เห็นฮูปในหนังสือแนวประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งเขียนไว้ ในกาลก่อนเกี่ยวกับแผ่นดินโบราณหม่องนี่นั่น  ก็เป็นฮูปแต้มลายเส้นขาวดำเหมิดบ่แม่นตี๊  ฮูปขาวดำมีเสน่ห์นะ  คุณๆผู้ชายกะมักสาวๆ นุ่งซิ่นไหมสีดำย้อมบักเกลือ ใส่เสื้อฝ้ายสีดำคือกัน บ่แม่นบ้อ เธอกวาดสายตามองผู้มาฮ่วมงานราวสามสิบ  ที่นับหัวผู้หญิงได้บ่ครบนิ้วมือ นอกนั้นเป็นผู้ชาย  แล้วเธอกะยิ้มอ่อนหวาน มองคนนี่ทีคนนั่นที
       ข่อยจำบ่ได้ดอกว่า หลังตอบคำถามที่ว่าแล้ว มีผู้ส่อถามนักเขียน หรือวิพากษ์งานเขียนเล่มนั่น จั่งใด๋แหน่ เพราะข่อยหม่ายไปเว้าจากับสาวเจ้า  ผู้เป็นมือกล้องที่นั่งจิ๊บไวน์แดงยุซุ้มดอกส้มมั่งเล็บมือนางผู้เดียว
  

สาวเจ้าเดินเข้าร้านมาตอนใด๋บ่ฮู้ แต่พอลืมตาจากความคิดฝันข่อยกะเห็นเพิ่นนั่งยิ้มยุตรงหน้า มุมโต๊ะของร้านกาแฟในสวนป่าขนาดเล็กริมแม่น้ำมูน ชานเมือง นานแม่นยามใกล้พระตีกลองเพล บ่มีใผ บรรยากาศเย็นสบาย กลิ่นหอมดอกข้าวที่หัวลมหนาวอุ้มมาฝากมาเผื่อ มันเฮ็ดให้คึดฮอดบ้านเก่าเมืองเกิดร่างสร้างโตตน  บ่แพ้แหล่ว
        “มาโดนแล้วบ้อข่อยถามออกไป พยายามทำเสียงให้นิ่งเป็นธรรมชาติ 
จักหน่อยแล้ว”  เธอว่าเห็นหลับเลยบ่ปลุกยกกล้องในมือขึ้น กดฮูปหยังบ่ฮู้  
สองสามที แล้วเล็งกล้องมาทางข่อยขอถ่ายฮูปอ้ายแหน่  เอาแบบขาวดำน้อ
        ข่อยยิ้ม และทำท่าเป็นนายแบบตามสั่ง อย่างว่าง่าย 
บ่ต้องเกร็งดอกท่านบอ กอ  เอาตามที่เป็นอ้ายนี่ละ
วางกล้องลงบนโต๊ะ  แล้วหยิบหนังสืออนุกรมารมณ์ที่ข่อยวางบนย่ามสีแดงไปเปิด
หน้าแรกอ่านเสียงดัง หน้าข่อยเริ่มแดงนิดๆ  ใจหนึ่งว่าอยากห้ามผู้สาว เพราะคันว่าบ่มัวใส่หูฟังแล้ว ในรัศมี  สิบเมตรจากโต๊ะนี้  จั่งใด๋กะได้ยินได้ฟังเสียงอ่าน คำมอบหนังสือเล่มนี้ให้เธอ อ่านจบเพิ่นกะหันมาทางข่อย ปั้นหน้ายาก ขมวดคิ้ว  ถลึงตาหน่วยใหญ่คู่นั่นจนเห็นตาขาวหลายขึ้น หัวใจข่อยเหมือนเทียนก้อนถูกโยนลงใส่หม้อต้มของวัดหนองปลาปากในห้วงยามทำเทียนพรรษา แต่บ่ทันที่ข่อยสิคิดอ่านและสรุปจบความสัมพันธ์จากอากัปกิริยานั่น   ฉับพลัน  ผู้สาวกลับหัวเราะเสียงดังสามระลอก  หัวใจข่อยกวยโหญ่ไกวโอนเอน เพิ่นปิดหนังสือไปแนบอกข้างซ้ายแล้วจับใส่ในย่ามลายแพรตาหม่อง จับกล้องพร้อมกับลุกขึ้นสะพายคล้องคอ เดินอ้อมโต๊ะ ก้มหน้าใสมน ผีสบ-ริมฝีปากสีชมพูระเรื่ออ่อนฮูปเหมือนกลีบดอกจานแนบติดหูข้างซ้ายข่อย กลิ่นคือดอกสะเลเตน้อยโชยเข้าดัง คำน้อยๆ ที่ซื่มกระซิบใส่หูว่า 
ไปย่างเล่นแคมฝั่งมูนกันป๊ะเจ้าของเสียงซืม ก้าวออกจากฮ้าน ไปยืนเล็งกล้องใส่
เฮือขายหมากไม้ในแม่น้ำมูน ฮูปห่าง ไหล่เอิ๊กเอวในเสื้อผ้าฝ้ายขาวคอวี สะโพกอวบกลมกลึงในกระโปรงยีนส์สั้นสีฟ้าอ่อนซีดจางมีจุดเด่นตรงตีนกระโปรงที่เย็บแถบตีนซิ่นไหม ขณะก้มถ่ายดอกไม้นั่น เผยให้เห็นขาโอ้งขาวเนียนสมส่วนเรียวลงไปฮอดขาแข้งที่เกร็งมัดกล้ามแข็งแรงปล่อยให้เท้าหายเข้าไปในรองเท้าผ้าใบ หุ้มส้น สีบานเย็นแบบจีนคือใผน้อ
      ชั่วอึดใจข่อยดีดโตขึ้น  สะพายย่ามแดงคู่ใจ  ตรงไปจ่ายเงินที่เคาว์เตอร์ แล้วเหมือนลอยลงจากฮ้านที่มีบันไดแค่สามขั้น ไปยืนเทียมข้างเธอ ยกยื่นมือซ้ายไปกำมือขวาอุ่น ๆ ของเธอ ออกแฮงแกว่งแขนเบาๆ เป็นจังหวะ หนึ่ง สอง  หนึ่ง สอง  หนึ่ง...

-----
ชวนอ่านฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก บรรณาธิการโดย วิทยากร โสวัตร ตามลิ้งค์ไปได้เลยครับ
https://theisaanrecord.co/2019/11/30/isaan-record-short-story-1/



บทเพลง คึดได้ไปเป็น l บ่าวทิ ยางชุมน้อย

ว่าด้วยที่มาของบทเพลง "คึดได้ไปเป็น" •เกิดมาน้อยเท่าใหญ่ ฟังเพลงบอกรักหรือแสดงบุญคุณแม่พ่อ ก็มีแต่เพลงแยก •มีเพลงแม่ อย่าง ค่าน้ำน...